ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ถามวันที่ 16 ต.ค. 2559 . ถามโดย piyanuch . เข้าชม 13 ครั้ง
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ถามวันที่ 16 ต.ค. 2559 . ถามโดย piyanuch . เข้าชม 13 ครั้ง
รถมอเตอร์ไซค์ของบริษัทหายไป ได้แจ้งความแล้ว ต้องนำส่ง vat หรือไม่
1 คำตอบ
เรียน คุณ piyanuch
กรณีรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ของบริษัทฯ หายไป ได้แจ้งความแล้ว กรมสรรพากรได้วางแนวทางไว้ตามคำตอยข้อหารือของกรมสรรพากรที่ กค 0706/พ./1308 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ว่า "กรณีทรัพย์สินสูญหาย หากไม่มีการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินนั้น ถือเป็นผลเสียหายจากการประกอบการ บริษัทฯ มีสิทธิตัดเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวน แต่บริษัทฯ จะต้องมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นได้สูญหายจริง และทรัพย์สินที่สูญหายดังกล่าว ถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในกิจการ เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าของทรัพย์สินตามราคาตลาดของทรัพย์สินที่สูญหายไปดังกล่าว ตามมาตรา 79 และมาตรา 79/3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร" ซึ่งได้แนบมาท้ายนี้
เลขที่หนังสือ : กค 0706/พ./1308
วันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2547
เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีทรัพย์สินเกิดอุบัติเหตุ
ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 ตรี, มาตรา 77/1(8), มาตรา 77/1(9), มาตรา 77/1(10), มาตรา 77/2, มาตรา 79, มาตรา 79/3(1)
ข้อหารือ :
บริษัท ร. ประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องบันทึกการเก็บเงิน เครื่องกดน้ำ ตู้นึ่งซาลาเปา เตาไมโครเวฟ ซึ่งอยู่ในร้านสะดวกซื้อ ในการประกอบกิจการบริษัทฯ ได้มีการให้บริการบำรุงรักษาสินค้าที่บริษัทฯ ได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้าด้วย ในการให้บริการดังกล่าวพนักงานช่างของบริษัทฯ จะทำการ
เบิกอะไหล่และอุปกรณ์เครื่องมือจากบริษัทฯ เพื่อใช้ในการให้บริการ ในการให้บริการในบางครั้งรถของช่างที่ให้บริการได้เกิดอุบัติเหตุทำให้อะไหล่และอุปกรณ์เครื่องมือเสียหายหรือสูญหาย บริษัทฯ ได้มีการทำประกันภัยทรัพย์สินไว้กับบริษัทประกันภัยโดยกำหนดเงื่อนไขความรับผิดชอบในส่วนแรกของผู้เอาประกันภัย
ไว้ที่ USD 5,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ความเสียหายส่วนที่ไม่เกินหรือต่ำกว่า USD 5,000 บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบเอง จึงขอหารือดังนี้
1. บริษัทฯ สามารถตัดจ่ายทรัพย์สินหรืออะไหล่ในคลังสินค้าเป็นรายจ่ายได้หรือไม่ และต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ หากต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สินหรืออะไหล่จะใช้มูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน มูลค่าต้นทุนของอะไหล่หรือจะต้องใช้ราคาตลาดของ
ทรัพย์สินและอะไหล่นั้น
2. ในบางกรณีบริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพนักงานที่รับผิดชอบหากพบว่า ความเสียหายเกิดจากความผิดของพนักงานนั้น ในกรณีเช่นนี้บริษัทฯ ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากพนักงานผู้นั้นและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมออกใบกำกับภาษีใช่หรือไม่ โดยฐานภาษีมูลค่าเพิ่มใช้ฐานใด
ตามข้อ 1.
3. กรณีตามข้อ 1. ไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และปรากฏว่าบริษัทฯ สามารถเรียกเก็บจากพนักงานได้บางส่วน บริษัทฯ จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงบางส่วนที่เรียกเก็บได้จากพนักงานใช่หรือไม่
แนววินิจฉัย :
1. กรณีที่ทรัพย์สินหรืออะไหล่ชำรุดหรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ บริษัทฯ จะนำต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินหรืออะไหล่นั้น ตัดเป็นรายจ่ายทั้งจำนวนไม่ได้ แต่หากได้ทำลายหรือขายไปซึ่งทรัพย์สินหรืออะไหล่นั้น ก็สามารถตัดต้นทุนที่เหลืออยู่ได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีที่มีการขายซากทรัพย์สินหรืออะไหล่ของสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าในราคาตามสภาพของสินค้าและนำมารวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
2. กรณีทรัพย์สินหรืออะไหล่สูญหาย หากไม่มีการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินนั้น ถือเป็นผลเสียหายจากการประกอบการ บริษัทฯ มีสิทธิตัดเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวน แต่บริษัทฯ จะต้องมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นได้สูญหายจริง และทรัพย์สินหรืออะไหล่ที่สูญหายดังกล่าว ถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในกิจการ เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าของทรัพย์สินตามราคาตลาดของทรัพย์สินหรืออะไหล่ที่สูญหายไปดังกล่าว ตามมาตรา 79 และมาตรา 79/3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีที่บริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากพนักงานที่รับผิดชอบหากพบว่าความเสียหายเกิดจากความผิดของพนักงานนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่มูลค่าที่บริษัทฯ ได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (8) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้ : 67/32813
กรณีรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) ของบริษัทฯ หายไป ได้แจ้งความแล้ว กรมสรรพากรได้วางแนวทางไว้ตามคำตอยข้อหารือของกรมสรรพากรที่ กค 0706/พ./1308 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ว่า "กรณีทรัพย์สินสูญหาย หากไม่มีการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินนั้น ถือเป็นผลเสียหายจากการประกอบการ บริษัทฯ มีสิทธิตัดเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวน แต่บริษัทฯ จะต้องมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นได้สูญหายจริง และทรัพย์สินที่สูญหายดังกล่าว ถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในกิจการ เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าของทรัพย์สินตามราคาตลาดของทรัพย์สินที่สูญหายไปดังกล่าว ตามมาตรา 79 และมาตรา 79/3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร" ซึ่งได้แนบมาท้ายนี้
เลขที่หนังสือ : กค 0706/พ./1308
วันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2547
เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีทรัพย์สินเกิดอุบัติเหตุ
ข้อกฎหมาย : มาตรา 65 ตรี, มาตรา 77/1(8), มาตรา 77/1(9), มาตรา 77/1(10), มาตรา 77/2, มาตรา 79, มาตรา 79/3(1)
ข้อหารือ :
บริษัท ร. ประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องบันทึกการเก็บเงิน เครื่องกดน้ำ ตู้นึ่งซาลาเปา เตาไมโครเวฟ ซึ่งอยู่ในร้านสะดวกซื้อ ในการประกอบกิจการบริษัทฯ ได้มีการให้บริการบำรุงรักษาสินค้าที่บริษัทฯ ได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้าด้วย ในการให้บริการดังกล่าวพนักงานช่างของบริษัทฯ จะทำการ
เบิกอะไหล่และอุปกรณ์เครื่องมือจากบริษัทฯ เพื่อใช้ในการให้บริการ ในการให้บริการในบางครั้งรถของช่างที่ให้บริการได้เกิดอุบัติเหตุทำให้อะไหล่และอุปกรณ์เครื่องมือเสียหายหรือสูญหาย บริษัทฯ ได้มีการทำประกันภัยทรัพย์สินไว้กับบริษัทประกันภัยโดยกำหนดเงื่อนไขความรับผิดชอบในส่วนแรกของผู้เอาประกันภัย
ไว้ที่ USD 5,000 ต่อการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง ความเสียหายส่วนที่ไม่เกินหรือต่ำกว่า USD 5,000 บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบเอง จึงขอหารือดังนี้
1. บริษัทฯ สามารถตัดจ่ายทรัพย์สินหรืออะไหล่ในคลังสินค้าเป็นรายจ่ายได้หรือไม่ และต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ หากต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สินหรืออะไหล่จะใช้มูลค่าสุทธิของทรัพย์สิน มูลค่าต้นทุนของอะไหล่หรือจะต้องใช้ราคาตลาดของ
ทรัพย์สินและอะไหล่นั้น
2. ในบางกรณีบริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพนักงานที่รับผิดชอบหากพบว่า ความเสียหายเกิดจากความผิดของพนักงานนั้น ในกรณีเช่นนี้บริษัทฯ ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากพนักงานผู้นั้นและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมออกใบกำกับภาษีใช่หรือไม่ โดยฐานภาษีมูลค่าเพิ่มใช้ฐานใด
ตามข้อ 1.
3. กรณีตามข้อ 1. ไม่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และปรากฏว่าบริษัทฯ สามารถเรียกเก็บจากพนักงานได้บางส่วน บริษัทฯ จะต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงบางส่วนที่เรียกเก็บได้จากพนักงานใช่หรือไม่
แนววินิจฉัย :
1. กรณีที่ทรัพย์สินหรืออะไหล่ชำรุดหรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ บริษัทฯ จะนำต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินหรืออะไหล่นั้น ตัดเป็นรายจ่ายทั้งจำนวนไม่ได้ แต่หากได้ทำลายหรือขายไปซึ่งทรัพย์สินหรืออะไหล่นั้น ก็สามารถตัดต้นทุนที่เหลืออยู่ได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร และกรณีที่มีการขายซากทรัพย์สินหรืออะไหล่ของสินค้าดังกล่าว บริษัทฯ จะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าในราคาตามสภาพของสินค้าและนำมารวมคำนวณเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
2. กรณีทรัพย์สินหรืออะไหล่สูญหาย หากไม่มีการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใด ๆ มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินนั้น ถือเป็นผลเสียหายจากการประกอบการ บริษัทฯ มีสิทธิตัดเป็นรายจ่ายได้ทั้งจำนวน แต่บริษัทฯ จะต้องมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรัพย์สินนั้นได้สูญหายจริง และทรัพย์สินหรืออะไหล่ที่สูญหายดังกล่าว ถือเป็นการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่มีไว้เพื่อใช้ในกิจการ เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้า ตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าของทรัพย์สินตามราคาตลาดของทรัพย์สินหรืออะไหล่ที่สูญหายไปดังกล่าว ตามมาตรา 79 และมาตรา 79/3 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
3. กรณีที่บริษัทฯ จะเรียกเก็บค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากพนักงานที่รับผิดชอบหากพบว่าความเสียหายเกิดจากความผิดของพนักงานนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่มูลค่าที่บริษัทฯ ได้รับจากการขายสินค้าหรือการให้บริการ ตามมาตรา 77/1 (8) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
เลขตู้ : 67/32813
ตอบเมื่อ 18 ต.ค. 2559 . ตอบโดย อจ.สุเทพ