ศึกษาประมวลรัษฎากร ด้วยตนเอง ตอนที่ 10 คำอธิบายประมวลรัษฎากร รายมาตรา บทเบ็ดเตล็ดในลักษณะ 1 ข้อความเบื้องต้น (2)
บทความวันที่ 26 ส.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 3252 ครั้ง
บทความวันที่ 26 ส.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 3252 ครั้ง
ศึกษาประมวลรัษฎากรด้วยตนเอง ตอนที่ 10
คำอธิบายประมวลรัษฎากร รายมาตรา
บทเบ็ดเตล็ดในลักษณะ 1 ข้อความเบื้องต้น
มาตรา 4 – มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร
ขอนำบทเบ็ดเตล็ดในลักษณะ 1 ข้อความเบื้องต้น ตามมาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร มาเล่าสู่กันฟัง ต่อจากตอนก่อนตามหัวข้อต่อไปนี้
10. มาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 นว แห่งประมวลรัษฎากร ใบผ่านภาษีอากร
11. มาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร
ดอกเบี้ยจากการได้รับคืนเงินภาษีอากร
10. ใบผ่านภาษีอากรตามมาตรา 4 ทวิ
ถึงมาตรา 4 นว
จากบทบัญญัติเกี่ยวกับใบผ่านภาษีอากรสำหรับคนต่างด้าวที่ประสงค์จะเดินทางออกจากประเทศไทยตามมาตรา
4 ทวิ ถึงมาตรา
4 นว
ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 16) พ.ศ.
2502 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2503 เป็นต้นไป
อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
10.1 หลักการทั่วไปเกี่ยวกับใบผ่านภาษีอากรสำหรับคนต่างด้าว
10.1.1 เนื่องจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรมีขอบเขตเพียงเฉพาะในราชอาณาจักรเท่านั้น
หากคนต่างด้าวที่มีหน้าที่เสียภาษีอากรของตนเองหรือต้องกระทำการแทนบุคคลอื่นได้เดินทางออกจากประเทศไทยแล้ว
ก็อาจทำให้รัฐเสียหายได้
10.1.2
ดังนั้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร จึงได้บัญญัติมาตรา
4 ทวิ
กำหนดให้คนต่างด้าวผู้ใดจะเดินทางออกจากประเทศไทยต้องเสียภาษีอากรที่ค้างชำระและหรือที่จะต้องชำระ
แม้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระ หรือจัดหาประกันเงินภาษีอากรให้เสร็จสิ้นตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรนี้ก่อนออกเดินทาง
10.2
การยื่นคำร้องเพื่อขอรับใบผ่านภาษีอากร ตามมาตรา 4 ตรี
10.2.1 ให้คนต่างด้าวซึ่งจะเดินทางออกจากประเทศไทยยื่นคำร้องตามแบบที่อธิบดีกำหนด
เพื่อขอรับใบผ่านภาษีอากรภายในกำหนดเวลาไม่เกินสิบห้าวันก่อนออกเดินทาง ไม่ว่ามีเงินภาษีอากรที่ต้องชำระหรือไม่
(1)
ถ้าผู้ยื่นคำร้องมีภูมิลำเนาหรือพักอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นต่ออธิบดีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
(2)
ถ้ามีภูมิลำเนาหรือพักอยู่ในเขตจังหวัดอื่นให้ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
10.2.2 คนต่างด้าวผู้ใดไม่ยื่นคำร้องขอรับใบผ่านภาษีอากรตามความในวรรคก่อน หรือยื่นคำร้องแล้วแต่ยังไม่ได้รับใบผ่านภาษีอากร
เดินทางออกจากประเทศไทยหรือพยายามเดินทางออกจากประเทศ นอกจากจะมีความผิดตามบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรแล้ว
ให้คนต่างด้าวผู้นั้นเสียเงินเพิ่มร้อยละ 20 ของเงินภาษีอากรที่จะต้องเสียทั้งสิ้นอีกด้วย
เงินเพิ่มตามมาตรานี้ให้ถือเป็นค่าภาษีอากร
อนึ่ง กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่
ป. 120/2545 วางแนวทางปฏิบัติตามข้อ 7 ให้คนต่างด้าวที่มีเงินได้พึงประเมินจากการเป็นนักแสดงภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยมีหน้าที่ต้องยื่นคำร้องตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
เพื่อขอรับใบผ่านภาษีอากรภายในกำหนดเวลาไม่เกินสิบห้าวันก่อนออกเดินทาง
ไม่ว่ามีเงินภาษีอากรที่ต้องชำระหรือไม่ตามมาตรา 4
ตรี
10.3
คนต่างด้าวที่ต้องขอรับใบผ่านภาษีอากร
10.3.1 ตามมาตรา 4 จัตวา บัญญัติว่า “บทบัญญัติมาตรา 4 ทวิ และมาตรา
4 ตรี ไม่ใช้บังคับแก่คนต่างด้าวผู้เดินทางผ่านประเทศไทย หรือเข้ามา และอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่ง
หรือหลายระยะรวมกันไม่เกินเก้าสิบวันในปีภาษีใด โดยไม่มีเงินได้พึงประเมิน หรือคนต่างด้าวที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี”
10.3.2
อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาศัยอำนาจตามมาตรา 4 จัตวา
ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง
กำหนดให้คนต่างด้าวผู้เดินทางออกจากประเทศไทยไม่ต้องขอรับใบผ่านภาษีอากร ลงวันที่
7 พฤษภาคม 2534 กำหนดว่า คนต่างด้าวผู้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไม่ต้องขอรับใบผ่านภาษีอากร
เว้นแต่ คนต่างด้าวต่อไปนี้
(1)
คนต่างด้าวผู้ต้องรับผิดเสียภาษีอากรหรือนำส่งภาษีอากรที่ค้างชำระหรือที่จะต้องชำระตาม
การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินอยู่ก่อนหรือในขณะเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
(2)
คนต่างด้าวผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้แทนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
ประกอบกิจการในประเทศไทย
(3)
คนต่างด้าวที่มีเงินได้พึงประเมินจากการเป็นนักแสดงสาธารณะในประเทศไทยไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ
คำว่า “นักแสดงสาธารณะ” หมายความว่า
นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุ และโทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ หรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใดๆ
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 2) ใช้บังคับ
1 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป)
(4) คนต่างด้าวที่มีเงินได้พึงประเมินจากการขายพลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม
โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน
เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่
เพชร ไข่มุก และสิ่งทำเทียมเพชรหรือไข่มุกหรือที่ทำขึ้นใหม่
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดให้คนต่างด้าวผู้เดินทางออกจากประเทศไทยไม่ต้องขอรับใบผ่านภาษีอากร
ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 ใช้บังคับ 9 กรกฎาคม 2553 เป็นต้นไป)
10.4 การออกใบผ่านภาษีอากร
10.4.1 ให้ผู้รับคำร้องตามมาตรา 4 ตรี ตรวจสอบว่าผู้ยื่นคำร้องมีภาษีอากรที่จะต้องเสียตามมาตรา
4 ทวิ หรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ออกใบผ่านภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกำหนดให้แก่ผู้ยื่นคำร้อง
ถ้าในการตรวจสอบตามความในวรรคก่อนปรากฏว่า
ผู้ยื่นคำร้องมีเงินภาษีอากรที่ต้องเสียตามมาตรา 4 ทวิ และผู้ยื่นคำร้องได้นำเงินภาษีอากรมาชำระครบถ้วนแล้วก็ดี
หรือไม่อาจชำระได้ทั้งหมดหรือได้ชำระแต่บางส่วน และผู้ยื่นคำร้องได้จัดหาผู้ค้ำประกันหรือหลักประกันที่อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเห็นสมควรมาเป็นประกันเงินค่าภาษีอากรนั้นแล้วก็ดี
ให้อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายออกใบผ่านภาษีอากรให้ (มาตรา
4 เบญจ)
10.4.2
ในกรณีที่ผู้รับคำร้องตามมาตรา 4 ตรี พิจารณาเห็นว่าผู้ยื่นคำร้องมีเหตุผลสมควรจะต้องเดินทางออกจากประเทศไทยเป็นการรีบด่วนและชั่วคราว
และผู้ยื่นคำร้องมีลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้าง
หรือที่ต้องชำระ ให้อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายออกใบผ่านภาษีอากรให้
(มาตรา 4 ฉ)
10.5 อายุใบผ่านภาษีอากร
10.5.1 เว้นแต่กรณีตาม 10.5.2 ใบผ่านภาษีอากรให้มีอายุใช้ได้สิบห้าวันนับแต่วันออก
ถ้ามีการขอต่ออายุใบผ่านภาษีอากรก่อนสิ้นอายุ อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจะต่ออายุให้อีกสิบห้าวันก็ได้
(มาตรา 4 สัตต)
10.5.2
คนต่างด้าวซึ่งมีความจำเป็นต้องเดินทางเข้าออกประเทศไทยเป็นปกติธุระเกี่ยวกับการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพจะยื่นคำร้องต่ออธิบดี
หรือผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย แล้วแต่กรณีขอให้ออกใบผ่านภาษีอากรให้ใช้เป็นประจำก็ได้
ถ้าผู้รับคำร้องพิจารณาเห็นว่าคนต่างด้าวผู้นั้นมีความจำเป็นดังที่ร้องขอ และมีหลักประกันหรือหลักทรัพย์อยู่ในประเทศไทยพอคุ้มค่าภาษีอากรที่ค้างหรือที่จะต้องชำระแล้วจะออกใบผ่านภาษีอากรให้ตามแบบที่อธิบดีกำหนดก็ได้
ใบผ่านภาษีอากรเช่นว่านี้ให้มีกำหนดเวลาใช้ได้ตามที่ระบุในใบผ่านภาษีอากรนั้น แต่ต้องไม่เกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันออก
(มาตรา 4 อัฏฐ)
10.6
บทกำหนดโทษเกี่ยวกับใบผ่านภาษีอากร
10.6.1 คนต่างด้าวผู้ใดเดินทางออกจากประเทศไทย โดยไม่มีใบผ่านภาษีอากร ซึ่งต้องมีตามความในประมวลรัษฎากรนี้
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งปรับทั้งจำ
(มาตรา 4 นว วรรคแรก)
10.6.2 คนต่างด้าวผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับ
10.6.1 (มาตรา 4 นว วรรคท้าย)
11. มาตรา 4 ทศ
ดอกเบี้ยจากการได้รับคืนเงินภาษีอากร
“มาตรา
4 ทศ
ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายสั่งให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรในอัตราร้อยละ
1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง
ดอกเบี้ยที่ให้ตามวรรคหนึ่ง มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนและให้จ่ายจากเงินภาษีอากรที่จัดเก็บได้ตามประมวลรัษฎากรนี้”
จากบทบัญญัติมาตรา
4 ทศ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 25) พ.ศ.
2525 ใช้บังคับ 3 กรกฎาคม 2525
เป็นต้นไปดังกล่าวอาจแยกพิจารณาเกี่ยวกับดอกเบี้ยจากการได้รับคืนเงินภาษีอากร
ได้ดังนี้
11.1 หลักการในการคิดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร
11.1.1 เพื่อเป็นการบรรเทาภาระความเสียหาย
และให้ประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร
ซึ่งได้ชำระหรือถือว่าได้ชำระภาษีอากรให้แก่ ทางราชการเกินกว่าจำนวนที่ต้องเสีย
11.1.2
เนื่องจากในกรณีที่ผู้ต้องเสียภาษีอากรชำระภาษีอากร
หรือล่าช้าเกินกำหนดเวลาที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มีบทบัญญัติให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรดังกล่าวต้องรับผิดเสียเงินเพิ่ม
ดังนั้น เพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอากร ในกรณีตรงข้ามเมื่อปรากฏว่า
ผู้ต้องเสียภาษีอากรได้ชำระภาษีอากรไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรจึงต้องควรได้รับดอกเบี้ย
11.2
วิธีการดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร
วิธีการคิดดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร
เป็นไปตามกฎกระทรวง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
4 ทศ ได้แก่ กฎกระทรวง ฉบับที่ 161 ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากร ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2526
ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
11.2.1
ดอกเบี้ยที่จะให้แก่ผู้ได้รับคืนเงินอากร ให้คิดดังต่อไปนี้
(1) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้
ณ ที่จ่าย ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบกำหนดระยะเวลาสามเดือนนับแต่
(ก)
วันสิ้นกำหนดระยะเวลายื่นแบบแสดงรายการตามที่กฎหมายกำหนด
หรือตามที่ได้รับการขยายหรือเลื่อนให้
ถ้าผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรต้องยื่นแบบแสดงรายการ
เกี่ยวกับเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย หรือ
(ข)
วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร
ถ้าผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการ
เกี่ยวกับเงินภาษีอากรที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่าย
(2) กรณีคืนเงินภาษีอากร
ที่ชำระตามแบบแสดงรายการ ไม่ว่าจะชำระพร้อมกับการยื่นหรือไม่
ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร
(3) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน
หรือตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระสำหรับสินค้าที่นำเข้าในราชอาณาจักร
ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันชำระภาษีอากร
การคิดดอกเบี้ยตามวรรคหนึ่ง
ให้คิดจนถึงวันที่ลงในหนังสือแจ้งคำสั่งคืนเงิน
แต่สำหรับการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่กรมศุลกากรเรียกเก็บเพื่อกรมสรรพากร ให้คิดจนถึงวันที่อนุมัติให้คืน
11.2.2 การคิดดอกเบี้ยตาม 11.2.1 จะคิดให้ต่อเมื่อได้มีการยื่นแบบแสดงรายการ
หรือคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด
หรือภายในเวลาที่ได้รับการขยาย หรือเลื่อนให้
การยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร
ผู้ยื่นคำร้องต้องนำเอกสารหรือหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปแสดงต่อเจ้าพนักงานเพื่อพิสูจน์ว่า
ได้เสียภาษีอากรเกินไปด้วย
ในกรณีที่เจ้าพนักงานเรียกเอกสารหรือหลักฐานเพิ่มเติม
เพื่อตรวจสอบว่าได้ถูกหัก หรือเสียภาษีอากรเกินกว่าที่ต้องเสีย
ผู้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรต้องนำเอกสารหรือหลักฐานไปแสดงต่อ
เจ้าพนักงานภายในกำหนดเวลาที่เจ้าพนักงานสั่ง แต่ไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
นับแต่วันได้รับคำสั่งเป็นหนังสือ
ในกรณีที่มีเหตุสมควรอธิบดีมีอำนาจขยายเวลาดังกล่าวให้ได้
แต่ให้ระงับการคิดดอกเบี้ยให้ในระหว่างเวลาที่ขยายให้จนถึงวันที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
ถ้าผู้ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
ภายในเวลาที่กำหนดหรือภายในเวลาที่อธิบดีได้ขยายให้ ให้ระงับการคิดดอกเบี้ย
ตั้งแต่วันสุดท้ายของเวลาที่เจ้าพนักงานสั่งตามวรรคสาม”
11.3 ดอกเบี้ยที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ก)
12.3.1
กรณีผู้ได้รับคืนภาษีที่ได้รับดอกเบี้ยเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 42 (19) จึงไม่ต้องนำดอกเบี้ยจากการนี้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
12.3.2 กรณีผู้ได้รับคืนภาษีที่ได้รับดอกเบี้ยเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ไม่มีบทบัญญัติใดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
จึงต้องนำดอกเบี้ยจากการนี้ไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ทั้งนี้
เมื่อผู้ได้รับคืนภาษีที่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้รับดอกเบี้ย
กรมสรรพากรต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1.0 ตามมาตรา 69 ทวิ
12. บทสรุป
บทบัญญัติที่มีเนื้อหาเป็นบทเบ็ดเตล็ดในลักษณะ
1 ข้อความเบื้องต้น ตามมาตรา 3 ทวิถึงมาตรา 3 จตุทศ และมาตรา
4 ทวิ ถึงมาตรา
4 ทศ รวมทั้งสิ้น 22 มาตรา
เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีอากรโดยรวมของทุกประเภทภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
อันเป็นกฎหมายทั่วไป จึงต้องนำมาบัญญัติไว้ในลักษณะ 1
ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปของทั้งประมวลรัษฎากร
บทบัญญัติมาตรา 3 ทวิ ถึงมาตรา 3 จตุทศ และมาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 ทศ มีการเพิ่มเติมและแก้ไขเพิ่มเติมดังนี้
บทบัญญัติ |
การแก้ไขเพิ่มเติม |
มาตรา 3 ทวิ |
เพิ่มเติมครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 ใช้บังคับ 25 เมษายน 2494 เป็นต้นมา ต่อมาแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 ใช้บังคับวันที่ 3 กรกฎาคม 2525 เป็นต้นไป |
มาตรา 3 ตรี และ มาตรา 3 จัตวา |
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2494 ใช้บังคับวันที่ 25 เมษายน 2494 เป็นต้นไป |
มาตรา 3 เบญจ |
เพิ่มเติมครั้งแรกโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่
10) พ.ศ. 2496 มาตรา 10 ใช้บังคับ 10 กุมภาพันธ์ 2496 ต่อมาแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
(ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2525 ใช้บังคับวันที่ 3 กรกฎาคม 2525 เป็นต้นไป |
มาตรา 3 ฉ ถึงมาตรา 3 ทศ |
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ใช้บังคับวันที่ 10 กุมภาพันธ์
2496 เป็นต้นไป |
มาตรา 3 เอกาทศ |
เพิ่มเติมครั้งแรกโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน
2520 ต่อมาแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 ใช้บังคับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2496
เป็นต้นไป |
มาตรา 3 ทวาทศ |
เพิ่มเติมโดยประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 7
พฤศจิกายน 2520 |
มาตรา 3 เตรส |
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 5) พ.ศ.
2521 |
มาตรา 3 จตุทศ |
เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.
2526 ใช้บังคับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2526 |
มาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 นว |
เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 16) พ.ศ.
2502 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2503 เป็นต้นไป |
มาตรา 4 ทศ |
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 25)
พ.ศ. 2525 ใช้บังคับ 3 กรกฎาคม 2525 เป็นต้นไป |
มาตรา 3 ทวิ บัญญัติขึ้นเพื่อการลดคดีความทางภาษีอากรที่จะขึ้นสู่ศาล
โดยเฉพาะคดีมโนสาเร่ที่เป็นบทลหุโทษ
มาตรา 3 ตรี บัญญัติขึ้นเพื่อการลดเงินเพิ่มอากรแสตมป์
มาตรา 3 จัตวา
บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในอันที่จะกำหนดให้นำภาษีอากรไปชำระ ณ
ที่แห่งอื่นที่มิใช่ที่ว่าการอำเภอ ซึ่งเป็นการซ้ำซ้อนกับมาตรา 11
ที่ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรในอันที่จะกำหนดในลักษณะดังกล่าวอยู่ก่อนแล้ว
จึงพิจารณาได้ว่า มาตรา 3 จัตวาเป็นบทบัญญัติที่ไม่มีผลใช้บังคับ
มาตรา 3 เบญจ บัญญัติให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากร
ผู้ว่าราชการจังหวัดและสรรพากรเขตในอันที่จะเข้าทำการตรวจค้น ยึดอายัด
โดยกำหนดบทลงโทษทางอาญไว้ตามมาตรา 3 นว
มาตรา 3 ฉ บัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานประเมินในอันที่จะสั่งให้ผู้ต้องเสียภาษีอากรหรือผู้อื่นแปลเอกสารหลักฐานที่จัดทำเป็นภาษีต่างประเทศให้เป็นภาษาไทยภายในเวลาอันสมควร
โดยกำหนดบทลงโทษทางอาญาไว้ตามมาตรา 3 ทศ
มาตรา 3 อัฏฐ
บัญญัติให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในอันที่จะขยายกำหนดเวลาใดๆ
ตามประมวลรัษฎากร
มาตรา 4 ทวิ ถึงมาตรา 4 นว
บัญญัติเกี่ยวกับใบผ่านภาษีอากรสำหรับคนต่างด้าวยที่ประสงค์จะเดินทางออกจากประเทศไทย
มาตรา 4 ทศ บัญญัติหลักเกณฑ์การให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากร
การประยุกต์ใช้บทบัญญัติในลักษณะ
2 จึงต้องคำนึงถึงบทบัญญัติทั่วไปในลักษณะ 1 อันเป็นกฎหมายทั่วไปเสมอ ตามหลัก “กฎหมายพิเศษย่อมใช้บังคับก่อนหรือยกเว้นกฎหมายทั่วไป”