แนวทางการพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ที่ มก. 53/2560 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
บทความวันที่ 31 ก.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 56116 ครั้ง
บทความวันที่ 31 ก.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 56116 ครั้ง
แนวทางการพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา
67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ที่
มก. 53/2560 ลงวันที่ 22
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
กรมสรรพากรได้ยกเลิกแนวทางการพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา 67
ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ที่ มก. 28/2555 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
โดยแนวทางปฏิบัติที่ มก. 53/2560 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เพื่อให้การพิจารณากรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา
67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นโดยมีเหตุอันสมควร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไมต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ โดยให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่
22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เป็นต้นไป (ข้อ 11) และแนวทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับแนวทางปฏิบัตินี้ ให้ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัตินี้
(ข้อ 10)
1.
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25
ในการพิจารณาว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) หรือไม่ ให้ดำเนินการดังนี้ (ข้อ 2)
1.1
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไป
(1)
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ให้เปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) กับกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
ฉบับหลังสุด กรณีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
เพิ่มเติม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกัน
(2)
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ไม่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) และเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีอากรตามมาตรา
23 แห่งประมวลรัษฎากร กรณี ให้เปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) กับกำไรสุทธิตามผลการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
1.2
กรณีบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
รวมถึงบริษัทที่ประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
หรือบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ให้พิจารณาจากกำไรสุทธิรวมของกิจการ
หากประมาณการกำไรสุทธิรวมขาดไปไม่เกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิรวม
ถือว่าบริษัทประมวณการกำไรสุทธิขาดไปไม่เกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
2. กรณีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร
จากผลการเปรียบเทียบตามข้อ 1. ดังกล่าว ปรากฏว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) หากเป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่า เป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามมาตรา
67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (ข้อ 3)
2.1
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิ และยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว
2.2
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำหรือจะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ไม่น้อยกว่ากำไรสุทธิที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว แต่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51)
ไว้น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว เนื่องจากได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี
2.3 บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
เมื่อดำเนินการเปรียบเทียบตามข้อ 2 แล้ว
พบว่าประมาณการกำไรสุทธิรวมขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิรวม
แต่เมื่อพิจารณาแยกเป็นรายกิจการ ปรากฏว่า
ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลขาดไปไม่เกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.4
กรณีเปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) กับกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ฉบับหลังสุด ซึ่งยื่นภายในกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) แล้ว พบว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ไว้ขาดไปไม่เกินร้อยร้อยละ 25 ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
แต่ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
เพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
3. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า
ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเกิดจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ให้ถือว่า มีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (ข้อ 4)
3.1 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 6
เดือนหลังของรอบระยะเวลาบัญชี
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้ ดังนี้
(1)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ
ซึ่งในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการ
ทั้งนี้ คำว่า “รายได้จากการประกอบกิจการ” ไม่รวมถึงรายได้เนื่องจากกิจการ
(2)
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำลง ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำลงด้วย
(3)
การส่งออกสินค้ามีความไม่แน่นอน ทั้งปริมาณและราคาสินค้า
หรือมีการยกเลิกการควบคุมราคาหรือปริมาณสินค้าส่งออก หรือปริมาณและราคมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ทำให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่สามารถคาดการณ์ได้
(4)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ เช่น
มีการประกาศเปลี่ยนแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศหรือประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
หรือมีสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ซึ่งส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีการผันผวน เป็นต้น
3.2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ซึ่งเกิดจากกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีกำไรจากการขายทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ
4. กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยไม่มีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 2. และข้อ 3. แต่เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาข้อเท็จจริงอื่นๆ
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาตามที่กำหนดในข้อ 3.
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า
ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ให้ถือว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (ข้อ
5)
5. กรณีปรับปรุงเหตุอันสมควรตามข้อ 3. และข้อ 4.
แล้ว เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นไปตามกรณีดังต่อไปนี้ ให้ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามมาตรา
67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร (ข้อ 6)
5.1
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิของกิจการขาดไปไม่เกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
5.2
บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
5.3
บริษัทที่ประกอบกิจการสำนักงานปฎิบัติการภูมิภาค สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
หรือบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการแต่ละประเภทต้องขาดไปไม่เกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิของกิจการแต่ละประเภท ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
6. ในการพิจารณาเหตุอันสมควร
ให้เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาและเสนอความเห็นต่อผุ้มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติ
ดังนี้ (ข้อ 7)
6.1 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยมีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 ให้พิจารณาและเสนอความคิดเห็นต่อผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีกลางหรือผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
หรือสรรพากรพื้นที่ แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุมัติ
6.2 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยมีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4
แต่มีเหตุอันสมควรตามข้อ 5 ให้สำนักตรวจสอบภาษีกลาง
และสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ เสนอความเห็นผ่านสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี
เพื่อขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากร สำหรับสำนักงานสรรพากรพื้นที่ให้เสนอความเห็นเพื่อขออนุมัติต่อสรรพากรภาค
7. กรณีมีเหตุอย่างอื่นนอกเหนือจากแนวทางปฏิบัตินี้ ให้เสนอข้อเท็จจริงและความเห็นต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อวินิจฉัยสั่งการ (ข้อ 8)
แนวทางปฏิบัติกรมสรรพากร
ที่
มก. 53/2560
เรื่อง
การพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
--------------------------------------------
เพื่อให้การพิจารณากรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการและชำระภาษีตามมาตรา
67 ทวิ (1) แห่งประมวลรัษฎากร โดยแสดงประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยมีเหตุอันสมควร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไมต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงกำหนดแนงทางปฏิบัติในการพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา
67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกแนวทางปฏิบัติกรมสรรพากรที่
มก. 28/2555 เรื่อง การพิจารณาเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
ข้อ 2 การพิจารณาว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นหรือไม่
ให้เปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี (ภ.ง.ด.51)
กับกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ฉบับหลังสุด กรณีที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) เพิ่มเติม สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกัน
เว้นแต่เป็นรอบระยะเวลาบัญชีที่มีออกหมายเรียกเพื่อตรวจสอบภาษีอากรตามมาตรา 23
แห่งประมวลรัษฎากร ให้เปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) กับกำไรสุทธิตามผลการตรวจสอบของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
กรณีบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
รวมถึงบริษัทที่ประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
หรือบริษัทการค้าระหว่างประเทศ การเปรียบเทียบตามวรรคแรก
ให้พิจารณาจากกำไรสุทธิรวมของกิจการ หากประมาณการกำไรสุทธิรวมขาดไปไม่เกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิรวม ถือว่าบริษัทประมวณการกำไรสุทธิขาดไปไม่เกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ข้อ 3 กรณีดังต่อไปนี้ให้ถือว่า
เป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
3.1
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิและยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว
3.2
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำหรือจะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ไม่น้อยกว่ากำไรสุทธิที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว แต่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปี (ภ.ง.ด.51)
ไว้น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว เนื่องจากได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี
3.3 บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
เมื่อดำเนินการเปรียบเทียบตามข้อ 2 แล้ว
พบว่าประมาณการกำไรสุทธิรวมขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิรวม
แต่เมื่อพิจารณาแยกเป็นรายกิจการ ปรากฏว่า
ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลขาดไปไม่เกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
3.4
กรณีเปรียบเทียบประมาณการกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) กับกำไรสุทธิตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) ฉบับหลังสุด ซึ่งยื่นภายในกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50) แล้ว พบว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ไว้ขาดไปไม่เกินร้อยร้อยละ 25 ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
แต่ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50)
เพิ่มเติม ซึ่งส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ข้อ 4 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า
ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเกิดจากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
ให้พิจารณาว่า มีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
4.1 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 6 เดือนหลังของรอบระยะเวลาบัญชี
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่สามารถคาดการณ์หรือควบคุมได้ ดังนี้
(1)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เริ่มมีรายได้จากการประกอบกิจการ
ซึ่งในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการ
ทั้งนี้ คำว่า “รายได้จากการประกอบกิจการ” ไม่รวมถึงรายได้เนื่องจากกิจการ
(2)
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำลง ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำลงด้วย
(3)
การส่งออกสินค้ามีความไม่แน่นอน ทั้งปริมาณและราคาสินค้า
หรือมีการยกเลิกการควบคุมราคาหรือปริมาณสินค้าส่งออก หรือปริมาณและราคมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ทำให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่สามารถคาดการณ์ได้
(4)
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ เช่น
มีการประกาศเปลี่ยนแปลงสกุลเงินตราต่างประเทศหรือประกาศเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
หรือมีสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ซึ่งส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีการผันผวน เป็นต้น
4.2
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งปี
(ภ.ง.ด.51) ซึ่งเกิดจากกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีกำไรจากการขายทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบกิจการ
ข้อ 5 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยไม่มีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 แต่เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาข้อเท็จจริงอื่นๆ
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาตามที่กำหนดในข้อ 4
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถชี้แจงและพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ว่า
ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ให้ถือว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ 6 กรณีปรับปรุงเหตุอันสมควรตามข้อ
4 และข้อ 5 แล้ว ให้พิจารณา ดังนี้
6.1
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลประมาณการกำไรสุทธิของกิจการขาดไปไม่เกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
6.2
บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบกิจการทั้งที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลขาดไปเกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิสำหรับกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
6.3
บริษัทที่ประกอบกิจการสำนักงานปฎิบัติการภูมิภาค สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
หรือบริษัทการค้าระหว่างประเทศ ประมาณการกำไรสุทธิของกิจการแต่ละประเภทต้องขาดไปไม่เกินร้อยละ
25 ของกำไรสุทธิของกิจการแต่ละประเภท ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ถือว่ามีเหตุอันสมควรตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อ 7 ในการพิจารณาเหตุอันสมควร
ให้เจ้าพนักงานประเมินพิจารณาและเสนอความเห็นต่อผุ้มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติ
ดังนี้
7.1 กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยมีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 ให้พิจารณาและเสนอความคิดเห็นต่อผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีกลางหรือผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่
หรือสรรพากรพื้นที่ แล้วแต่กรณี เพื่อพิจารณาอนุมัติ
7.2
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นประมาณการกำไรสุทธิขาดไปเกินร้อยละ
25
ของกำไรสุทธิซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
โดยมีเหตุอันสมควรตามที่กำหนดไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4
แต่มีเหตุอันสมควรตามข้อ 5 ให้สำนักตรวจสอบภาษีกลาง
และสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ เสนอความเห็นผ่านสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี
เพื่อขออนุมัติต่ออธิบดีกรมสรรพากร สำหรับสำนักงานสรรพากรพื้นที่ให้เสนอความเห็นเพื่อขออนุมัติต่อสรรพากรภาค
ข้อ 8 กรณีมีเหตุอย่างอื่นนอกเหนือจากแนวทางปฏิบัตินี้
ให้เสนอข้อเท็จจริงและความเห็นต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อวินิจฉัยสั่งการ
ข้อ 9 ให้ผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษีรักษาการตามแนวทางปฏิบัตินี้
ข้อ
10
แนวทางปฏิบัติใดที่ขัดหรือแย้งกับแนวทางปฏิบัตินี้ ให้ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัตินี้
ข้อ
11 ให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ที่ลงนามในแนวทางปฏิบัตินี้เป็นต้นไป
ประกาศ
ณ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
ประสงค์ พูนธเนศ
(นายประสงค์ พูนธเนศ)
อธิบดีกรมสรรพากร