ภาษีโรงพยาบาลสัตว์
บทความวันที่ 8 ก.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 19678 ครั้ง
บทความวันที่ 8 ก.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 19678 ครั้ง
ภาษีโรงพยาบาลสัตว์
1.
ภาษีเงินได้
1.1
กรณีประกอบกิจการในรูปบุคคลธรรมดาเจ้าของคนเดียว ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้หักค่าใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นและสมควร
(ค่าใช้จ่ายจริง) โดยให้นำมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและชำระภาษีเงินได้ปีละ
2 ครั้ง ดังนี้
(1) เงินได้จากโรงพยาบาลสัตว์ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน
ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.94) พร้อมกับชำระภาษีภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี
ทั้งนี้ ตามมาตรา 56 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร โดยต้องมีเงินได้ขั้นต่ำดังต่อไปนี้
จึงจะมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ
(ก)
กรณีไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน
เกินกว่า 60,000 บาท
(ข)
กรณีมีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน
เกินกว่า 120,000 บาท
(2)
เงินได้จากโรงพยาบาลสัตว์ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม
ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) พร้อมกับชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
โดยให้นำภาษีที่ชำระไว้แล้วตาม (1) มาเป็นเครดิตหักออกจากภาษีที่ต้องชำระได้
โดยต้องมีเงินได้ขั้นต่ำดังต่อไปนี้ จึงจะมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการ
(ก)
กรณีไม่มีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินได้รับในปีภาษีที่ล่างมาแล้วเกิน 60,000
บาท
(ข)
กรณีมีสามีหรือภริยาและมีเงินได้พึงประเมินได้รับในปีภาษีทีล่วงมาแล้วเกิน 120,000
บาท
ทั้งนี้ ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้มีคู่สมรส ไม่ว่าความเป็นสามีภริบาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีในปีที่มีเงินได้หรือไม่ก็ตาม
สามีและภริยาจะแบ่งเงินได้พึงประเมินเป็นของแต่ละฝ่ายตามส่วนที่ตกลงกันก็ได้
แต่รวมกันต้องไม่น้อยกว่าเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ ถ้าตกลงกันไม่ได้
ให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของสามีและภริยา ฝ่ายละกึ่งหนึ่ง โดยผู้มีเงินได้จะถือเอาเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของคู่สมรส
และให้คู่สมรสมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี ตามมาตรา 57 ฉ
แห่งประมวลรัษฎากร
1.2 กรณีประกอบกิจการโรงพยาบาลสัตว์ในรูปของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกินจำนวนตาม (1)
ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นที่ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วภายในกำหนดเวลาและตามแบบเช่นเดียวกับวรรคก่อน
การเสียภาษีในกรณีเช่นนี้
ให้ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการรับผิดเสียภาษีในชื่อของห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นจากยอดเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้น
เสมือนเป็นบุคคลธรรมดาคนเดียวโดยไม่มีการแบ่งแยก
ทั้งนี้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลแต่ละตนไม่จำต้องยื่นรายการเงินได้
สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินดังกล่าวเพื่อเสียภาษีอีก
แต่ถ้าห้างหุ้นส่วนหรือคณะบุคคลนั้นมีภาษีค้างชำระ
ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือบุคคลในคณะบุคคลทุกคนร่วมรับผิดในเงินภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย
กรณีประกอบกิจการในรูปของห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ให้คำนวณและเสียภาษีเงินได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาตามข้อ 1.1 ข้างต้น
และเมื่อมีการแบ่งเงินส่วนแบ่งของกำไร ก็ให้ผู้เป็นหุ้นส่วนนำเงินได้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้งหนึ่งด้วย
และให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงยอดเงินคงเหลือยกมา
จำนวนรวมของยอดรายได้และยอดรายจ่ายที่ได้มีการรับมาหรือจ่ายไปในระหว่างปีภาษี
และยอดเงินคงเหลือยกไป โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 249) เรื่อง กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย
ลงวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557 และให้ยื่นบัญชีดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับการยื่นแบบ
ภ.ง.ด.90 ของทุกปีภาษี
1.3 กรณีประกอบกิจการโรงพยาบาลสัตว์ในรูปของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงพยาบาลสัตว์มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีดังนี้
(1)
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี จะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี(ถ้ามี)
ตามแบบ ภ.ง.ด.51 ภายใน 2
เดือนนับจากวันสุดท้ายของทุก 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี เว้นแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก
และรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้ายทีมีกำหนดเวลาน้อยกว่า
12 เดือนตามมาตรา 67 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
(2) การเสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิเมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี
(ถ้ามี) ตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
พร้อมทั้งแนบบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนที่ต้องจัดทำตามมาตรา 68 ทวิ
แห่งประมวลรัษฎากร ไปพร้อมกับแบบ ภ.ง.ด.50 นั้นด้วย ตามมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร
1.4 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
(1)
กรณีผู้จ่ายเงินได้ค่ารักษาสัตว์เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ให้คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 3% ของเงินได้ตามมาตรา 3 เตรส
แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
(2) กรณีผู้จ่ายเงินได้ค่ารักษาสัตว์เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล
หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ้น ให้คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 1% ของเงินได้ตามมาตรา 50 (4) หรือมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
แล้วแต่กรณี
2.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
การให้บริการรักษาสัตว์ของโรงพยาบาลสัตว์
เข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
โดยต้องนำรายได้ที่ได้รับมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้
2.1
กรณีมีรายได้ไม่เกิน 1,800,000 บาทต่อปี ย่อมได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา
81/1 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4
แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม
ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548
จึงไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
หากผู้ประกอบการโรงพยาบาลสัตว์ประสงค์จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็ให้กระทำได้โดยให้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30
วันนับแต่วันที่ได้แจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามมาตรา 81/3 (2) และมาตรา 85/1 (2)
แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 กรณีมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี ตัวแทนหรือนายหน้าหรือหัวหน้าตัวแทนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายรับเกิน 1,800,000 บาทต่อปี ตามมาตรา 85/1 (1)
แห่งประมวลรัษฎากร โดยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ตามมาตรา
80 แห่งประมวลรัษฎากร