ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

การเก็บและฝากสินค้าในเขตปลอดอากรของผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ

บทความวันที่ 13 มิ.ย. 2560  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 2136 ครั้ง

การเก็บและฝากสินค้าในเขตปลอดอากรของผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ

 

ข้อเท็จจริง  

1. บริษัทฯ เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายพาณิชย์ของประเทศญี่ปุ่น มีถิ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศญี่ปุ่น ประกอบกิจการผลิตและขาย digital duplicating และ inkjet printing และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ ไม่มีสถานประกอบการถาวร สาขา ลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน ในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย

2. บริษัทฯ มีลูกค้าในประเทศไทย คือ บริษัท B อินดัสทรี จำกัด (ผู้ผลิต) และบริษัท B (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้จัดจำหน่าย) ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทฯ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและไม่มีสถานประกอบการในเขตปลอดอากร โดยผู้ผลิตได้รับการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน digital duplicators และผู้จัดจำหน่ายประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องอัดสำเนาและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าว

3. บริษัทฯ ได้ขายชิ้นส่วนให้แก่ผู้ผลิตเพื่อนำไปใช้ในการผลิตและผู้ผลิตจะขายสินค้าสำเร็จรูปให้แก่บริษัทฯ โดยมีเงื่อนไขว่าการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์เมื่อกรรมสิทธิ์ในสินค้าได้โอนมายังบริษัทฯ เมื่อสินค้านั้นได้ผ่านพิธีการศุลกากรและนำมาเก็บ ณ โกดังสินค้าที่ตกลงกัน ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาว่าจ้างบริการจาก บริษัทโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลไทย ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร มิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นบริษัทในเครือของบริษัทฯ ประกอบกิจการให้บริการรับฝากสินค้า รวมถึงการขนถ่ายสินค้า จัดเก็บ รับจ้างบรรจุหีบห่อ บริการจัดส่งรับขนสินค้าโดยทางบก ทางทะเล และทางอากาศทั้งภายในและระหว่างประเทศให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอันเป็นปกติวิสัยเป็นการทั่วไป

4. ผู้ผลิตจะเป็นผู้ดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อนำสินค้าเข้าไปเก็บโกดังสินค้าของบริษัทโลจิสติกส์ในเขตปลอดอากร โดยการให้บริการของบริษัทโลจิสติกส์จะรวมถึง

    (ก) บันทึกรายการสินค้าที่ผู้ผลิตนำเข้ามาในเขตปลอดอากร

    (ข) จัดเก็บสินค้า และบรรจุหีบห่อใหม่ และ

    (ค) ส่งสินค้าจากโกดังสินค้าและปล่อยสินค้าตามคำสั่งของบริษัทฯ

5. ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้รับคำยืนยันการสั่งซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่าย บริษัทฯ จะออกเอกสารให้แก่ผู้จัดจำหน่ายเพื่อใช้ในการนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากร และจะแจ้งไปยังบริษัทโลจิสติกส์ให้ปล่อยสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่าย จากนั้นผู้จัดจำหน่ายจะเป็นผู้นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรและรับผิดชอบในการดำเนินพิธีการศุลกากรรวมทั้งชำระค่าอากรขาเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานกรมศุลกากรเพื่อนำสินค้าไปขายต่อให้กับลูกค้าในประเทศไทยต่อไป

6. ผู้จัดจำหน่ายจะชำระค่าสินค้าโดยตรงให้แก่บริษัทฯ โดยบริษัทฯ และผู้จัดจำหน่ายจะมีความสัมพันธ์กันในฐานะผู้ขายและผู้ซื้อเท่านั้น ผู้จัดจำหน่ายไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของบริษัทฯ ในประเทศไทย ทั้งนี้ ผู้จัดจำหน่ายมีอิสระและสิทธิในการคิดผลกำไรตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในการขายสินค้าดังกล่าวของตนให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย และผู้จัดจำหน่ายไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรอง ขายสินค้า หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการผูกนิติสัมพันธ์แทนบริษัทฯ

7. บริษัทโลจิสติกส์ ไม่มีหน้าที่เจรจา ทำสัญญาซื้อขาย หรือแนะนำสินค้า หรือจัดหาคำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าระหว่างบริษัทฯ และผู้จัดจำหน่าย และไม่มีหน้าที่รับหรือจ่ายเงินใดๆ ในประเทศไทยแทนบริษัทฯ บริษัทโลจิสติกส์ได้รับค่าบริการจากการรับฝากสินค้า บริการบรรจุหีบห่อ และบริการขนส่งเท่านั้น มิได้รับเงินได้อื่นใดจากบริษัทฯ อีก

 

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว กรมสรรพากร ได้วินิจฉัยว่า   

1. กรณีบริษัทฯ เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น ไม่มีสาขาในประเทศไทยเมื่อบริษัทฯ เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายกับผู้จัดจำหน่ายโดยตรง หากบริษัทโลจิสติกส์มิได้มีการกระทำใดๆ อันจะเป็นเหตุก่อให้เกิดรายได้ในประเทศไทยให้แก่บริษัทฯ เช่น มิได้ติดต่อซื้อขายแนะนำสินค้า หรือจัดหาคำสั่งซื้อในประเทศไทย เป็นต้น กรณียังไม่ถือว่า บริษัทโลจิสติกส์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อของบริษัทฯ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร

          2. กรณีบริษัทฯ ขายสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่าย โดยให้บริษัทโลจิสติกส์ซึ่งอยู่ในเขตปลอดอากรเป็นตัวแทนเก็บรักษาสินค้าและส่งมอบสินค้าแทนบริษัทฯ บริษัทโลจิสติกส์เข้าลักษณะเป็นตัวแทนตามมาตรา 77/1 (7) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร แต่การขายสินค้าดังกล่าวไม่ต้องนำมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษี หากข้อเท็จจริงปรากฏตามที่กล่าวอ้างข้างต้นว่าเป็นกรณีที่ บริษัทโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ขายสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่ายซึ่งเป็นผู้ซื้อสินค้าในราชอาณาจักร และผู้จัดจำหน่ายซึ่งเป็นผู้นำเข้าตามมาตรา 77/1 (11) ได้ยื่นกระทำพิธีการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรเมื่อนำสินค้านั้นออกจากเขตปลอดอากรแล้ว โดยผู้จัดจำหน่ายมิใช่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามข้อ 2 (4) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 132) เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545อนึ่ง จากข้อเท็จจริงข้างต้น บริษัทโลจิสติกส์ย่อมมีสิทธิไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะการขายสินค้าในราชอาณาจักรในฐานะตัวแทนของบริษัทฯ ตาม ข้อ 1 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 169 )ฯ ลงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549

          3. เมื่อบริษัทฯ ที่อยู่ในต่างประเทศขายสินค้าซึ่งอยู่ในโรงพักสินค้าในเขตปลอดอากรให้แก่ผู้จัดจำหน่ายในประเทศ ถือว่าบริษัทฯ ได้เข้ามาประกอบกิจการในราชอาณาจักรโดยมีบริษัทโลจิสติกส์เป็นตัวแทนของตน จึงมิใช่การประกอบกิจการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ดังนั้น เมื่อผู้จัดจำหน่ายชำระค่าสินค้าให้กับบริษัทฯ ผู้จัดจำหน่ายจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด

 

(ที่มา: หนังสือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0702/1382 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558

http://interweb.rd.go.th/cgi-bin/intra_search?q=%B9%D3%CA%D4%B9%A4%E9%D2%E0%A2%E9%D2%20%E0%A2%B5%BB%C5%CD%B4%CD%D2%A1%C3;t=5;field=1;page=20;long=1)