การเก็บและฝากสินค้าในเขตปลอดอากรของผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ
บทความวันที่ 13 มิ.ย. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2002 ครั้ง
บทความวันที่ 13 มิ.ย. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2002 ครั้ง
การเก็บและฝากสินค้าในเขตปลอดอากรของผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ
ข้อเท็จจริง
1.
บริษัทฯ เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายพาณิชย์ของประเทศญี่ปุ่น
มีถิ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศญี่ปุ่น
ประกอบกิจการผลิตและขาย digital
duplicating และ inkjet printing และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
บริษัทฯ ไม่มีสถานประกอบการถาวร สาขา ลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน
ในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย
2.
บริษัทฯ มีลูกค้าในประเทศไทย คือ บริษัท B อินดัสทรี จำกัด (ผู้ผลิต)
และบริษัท B (ประเทศไทย) จำกัด (ผู้จัดจำหน่าย)
ทั้งสองบริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทฯ จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและไม่มีสถานประกอบการในเขตปลอดอากร
โดยผู้ผลิตได้รับการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตชิ้นส่วน digital duplicators
และผู้จัดจำหน่ายประกอบธุรกิจจำหน่ายเครื่องอัดสำเนาและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้บริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดังกล่าว
3.
บริษัทฯ
ได้ขายชิ้นส่วนให้แก่ผู้ผลิตเพื่อนำไปใช้ในการผลิตและผู้ผลิตจะขายสินค้าสำเร็จรูปให้แก่บริษัทฯ
โดยมีเงื่อนไขว่าการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์เมื่อกรรมสิทธิ์ในสินค้าได้โอนมายังบริษัทฯ
เมื่อสินค้านั้นได้ผ่านพิธีการศุลกากรและนำมาเก็บ ณ โกดังสินค้าที่ตกลงกัน ซึ่งบริษัทฯ
อยู่ระหว่างการเจรจาว่าจ้างบริการจาก บริษัทโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลไทย
ตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร มิได้เกี่ยวข้องหรือเป็นบริษัทในเครือของบริษัทฯ
ประกอบกิจการให้บริการรับฝากสินค้า รวมถึงการขนถ่ายสินค้า จัดเก็บ
รับจ้างบรรจุหีบห่อ บริการจัดส่งรับขนสินค้าโดยทางบก ทางทะเล
และทางอากาศทั้งภายในและระหว่างประเทศให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศอันเป็นปกติวิสัยเป็นการทั่วไป
4.
ผู้ผลิตจะเป็นผู้ดำเนินพิธีการศุลกากรเพื่อนำสินค้าเข้าไปเก็บโกดังสินค้าของบริษัทโลจิสติกส์ในเขตปลอดอากร
โดยการให้บริการของบริษัทโลจิสติกส์จะรวมถึง
(ก)
บันทึกรายการสินค้าที่ผู้ผลิตนำเข้ามาในเขตปลอดอากร
(ข)
จัดเก็บสินค้า และบรรจุหีบห่อใหม่ และ
(ค)
ส่งสินค้าจากโกดังสินค้าและปล่อยสินค้าตามคำสั่งของบริษัทฯ
5.
ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้รับคำยืนยันการสั่งซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่าย บริษัทฯ จะออกเอกสารให้แก่ผู้จัดจำหน่ายเพื่อใช้ในการนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากร
และจะแจ้งไปยังบริษัทโลจิสติกส์ให้ปล่อยสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่าย
จากนั้นผู้จัดจำหน่ายจะเป็นผู้นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรและรับผิดชอบในการดำเนินพิธีการศุลกากรรวมทั้งชำระค่าอากรขาเข้า
และภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานกรมศุลกากรเพื่อนำสินค้าไปขายต่อให้กับลูกค้าในประเทศไทยต่อไป
6.
ผู้จัดจำหน่ายจะชำระค่าสินค้าโดยตรงให้แก่บริษัทฯ โดยบริษัทฯ
และผู้จัดจำหน่ายจะมีความสัมพันธ์กันในฐานะผู้ขายและผู้ซื้อเท่านั้น
ผู้จัดจำหน่ายไม่ใช่ตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของบริษัทฯ ในประเทศไทย ทั้งนี้
ผู้จัดจำหน่ายมีอิสระและสิทธิในการคิดผลกำไรตามความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในการขายสินค้าดังกล่าวของตนให้แก่ลูกค้าในประเทศไทย
และผู้จัดจำหน่ายไม่มีอำนาจในการเจรจาต่อรอง ขายสินค้า หรือกระทำการใดๆ
อันเป็นการผูกนิติสัมพันธ์แทนบริษัทฯ
7. บริษัทโลจิสติกส์ ไม่มีหน้าที่เจรจา ทำสัญญาซื้อขาย หรือแนะนำสินค้า หรือจัดหาคำสั่งซื้อที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าระหว่างบริษัทฯ และผู้จัดจำหน่าย และไม่มีหน้าที่รับหรือจ่ายเงินใดๆ ในประเทศไทยแทนบริษัทฯ บริษัทโลจิสติกส์ได้รับค่าบริการจากการรับฝากสินค้า บริการบรรจุหีบห่อ และบริการขนส่งเท่านั้น มิได้รับเงินได้อื่นใดจากบริษัทฯ อีก
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว
กรมสรรพากร ได้วินิจฉัยว่า
1.
กรณีบริษัทฯ เป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น
ไม่มีสาขาในประเทศไทยเมื่อบริษัทฯ เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายกับผู้จัดจำหน่ายโดยตรง
หากบริษัทโลจิสติกส์มิได้มีการกระทำใดๆ
อันจะเป็นเหตุก่อให้เกิดรายได้ในประเทศไทยให้แก่บริษัทฯ เช่น
มิได้ติดต่อซื้อขายแนะนำสินค้า หรือจัดหาคำสั่งซื้อในประเทศไทย เป็นต้น
กรณียังไม่ถือว่า บริษัทโลจิสติกส์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อของบริษัทฯ
ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ
ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย ตามมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
2. กรณีบริษัทฯ
ขายสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่าย
โดยให้บริษัทโลจิสติกส์ซึ่งอยู่ในเขตปลอดอากรเป็นตัวแทนเก็บรักษาสินค้าและส่งมอบสินค้าแทนบริษัทฯ
บริษัทโลจิสติกส์เข้าลักษณะเป็นตัวแทนตามมาตรา 77/1 (7) แห่งประมวลรัษฎากร
มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
แต่การขายสินค้าดังกล่าวไม่ต้องนำมารวมเป็นมูลค่าของฐานภาษี
หากข้อเท็จจริงปรากฏตามที่กล่าวอ้างข้างต้นว่าเป็นกรณีที่ บริษัทโลจิสติกส์
ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ขายสินค้าให้แก่ผู้จัดจำหน่ายซึ่งเป็นผู้ซื้อสินค้าในราชอาณาจักร
และผู้จัดจำหน่ายซึ่งเป็นผู้นำเข้าตามมาตรา 77/1 (11)
ได้ยื่นกระทำพิธีการนำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรเมื่อนำสินค้านั้นออกจากเขตปลอดอากรแล้ว
โดยผู้จัดจำหน่ายมิใช่ผู้ประกอบการในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (21)
แห่งประมวลรัษฎากร หรือคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ทั้งนี้ ตามข้อ 2
(4) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 40) เรื่อง
กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษี ตามมาตรา
79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 132) เรื่อง
กำหนดลักษณะและเงื่อนไข ค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา
79 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2545อนึ่ง
จากข้อเท็จจริงข้างต้น
บริษัทโลจิสติกส์ย่อมมีสิทธิไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะการขายสินค้าในราชอาณาจักรในฐานะตัวแทนของบริษัทฯ
ตาม ข้อ 1 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 169
)ฯ ลงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2549
3. เมื่อบริษัทฯ ที่อยู่ในต่างประเทศขายสินค้าซึ่งอยู่ในโรงพักสินค้าในเขตปลอดอากรให้แก่ผู้จัดจำหน่ายในประเทศ ถือว่าบริษัทฯ ได้เข้ามาประกอบกิจการในราชอาณาจักรโดยมีบริษัทโลจิสติกส์เป็นตัวแทนของตน จึงมิใช่การประกอบกิจการในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ดังนั้น เมื่อผู้จัดจำหน่ายชำระค่าสินค้าให้กับบริษัทฯ ผู้จัดจำหน่ายจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 (1) แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
(หนังสือกรมสรรพากรเลขที่
กค 0702/1382 ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558)
http://interweb.rd.go.th/cgi-bin/intra_search?q=%B9%D3%CA%D4%B9%A4%E9%D2%E0%A2%E9%D2%20%E0%A2%B5%BB%C5%CD%B4%CD%D2%A1%C3;t=5;field=1;page=20;long=1