แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
บทความวันที่ 15 พ.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 8507 ครั้ง
บทความวันที่ 15 พ.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 8507 ครั้ง
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
“นิติบุคคล” หรือบุคคลโดยผลของกฎหมายนั้น
มีหลายประเภท แต่ที่กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก “กำไรสุทธิ” ตามประมวลรัษฎากร ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
กลุ่มที่ 2
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
และได้มีการประกอบกิจการในประเทศไทย ในกิจการอื่นใดที่มิใช่การขนส่งระหว่างประเทศ
อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยจากกิจการดังกล่าว
กลุ่มที่ 3 รัฐบาลต่างประเทศ องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
หรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
และได้มีการประกอบกิจการในประเทศไทย ในกิจการอื่นใดที่มิใช่การขนส่งระหว่างประเทศ
อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยจากกิจการดังกล่าว
กลุ่มที่ 4 กิจการร่วมค้า ได้แก่
กิจการที่ดำเนินร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรในประเทศไทยระหว่าง บริษัทกับบริษัท
บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น
แม้ "กิจการร่วมค้า" จะเป็นเพียง “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ที่มิได้จดทะเบียนเป็น “นิติบุคคล” ตามกฎหมายใดๆ
แต่เพราะเหตุที่เป็นการรวมระหว่างผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นหลัก
ซึ่งโดยพื้นฐานของผู้เป็นหุ้นส่วนที่เข้าร่วมในกิจการร่วมค้า
ต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีมาตรฐานสูง และโปร่งใส
พร้อมที่จะซื่อสัตย์ต่อผู้ร่วมลงทุน ตลอดจนเจ้าหนี้ และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ อาทิ
รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชน ด้วยการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
และภาษีอากรประเภทอื่นให้ถูกต้องครบถ้วน ด้วยการทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
ในการนี้สภาวิชาชีพบัญชีได้กำหนดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2553 อันเป็นกรอบปฏิบัติของนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตทั้งหลายได้แก่ ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ความรู้ความสามารถ มาตรฐานในการปฏิบัติงาน การรักษาความลับ ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการ ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน บุคคล หรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติหน้าที่ให้มีหน้าที่ และความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมวิชาชีพ และจรรยาบรรณทั่วไป
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล (2)
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐาน “กำไรสุทธิทางภาษีอากร”
นั้น เป็นการจัดเก็บภาษีอากรตามหลัก “ความสามารถ”
ในการเสียภาษี โดยใช้ “กำไรสุทธิ” เป็นเกณฑ์ ซึ่งตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้คำนวณกำไรสุทธิจากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายที่เกี่ยวกับรายได้และการประกอบกิจการทั้งหลายตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้
โดยอาศัยหลักการทางบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีมาบัญญัติเป็นกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคล
การจัดทำบัญชีทางการเงินจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากร
ในปัจจุบัน
ประมวลรัษฎากรยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบและรับรองบัญชีเพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
และผู้สอบบัญชีภาษีอากร แล้วแต่กรณี เพื่อให้มีการสอบยันความถูกต้องของการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประเด็นที่กรมสรรพากรกำหนด
ด้วย
กล่าวสำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ให้นำรายได้ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมารวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม
“หลักถิ่นที่อยู่” บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรเสมอ
ส่วนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
รวมทั้งกิจการที่ดำเนินเป็นทางค้าหรือหากำไรโดยรัฐบาลต่างประเทศ
องค์การหรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ นั้น ให้คำนวณและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะจากกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้นตาม
“หลักแหล่งเงินได้” บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศดังกล่าว
ต้องเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทย จึงจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม
ประมวลรัษฎากร
ภาษีเงินได้นิติบุคคลโดยเฉพาะที่จัดเก็บจากฐานกำไรสุทธิดังกล่าว
จัดเป็น “ภาษีทางตรง” ซึ่งกำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ต้องรับภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้เอง
ไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังบุคคลได้ ด้วยเหตุนี้
ในทางกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลจึงกำหนดห้ามมิให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำค่า
“ภาษีเงินได้นิติบุคคล” ที่ต้องเสียตามประมวลรัษฎากร
(ภ.ง.ด.50)
ไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
ทั้งนี้ ตามมาตรา 65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร
การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิมีสองระดับ คือ
ระดับที่เป็นกำไรสุทธิของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ซึ่งปัจจุบันกำหนดให้เสียในอัตรา 20% ของกำไรสุทธิ
และระดับที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
รวมทั้งเงินกำไรที่จำหน่ายไปต่างประเทศ อีก 10% ของเงินดังกล่าว
ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดอยู่ในประเภท “ภาษีอากรประเมิน”
กล่าวคือ
กฎหมายกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่
รวมทั้งผู้จ่ายเงินได้ที่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย
มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
พร้อมกับชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล (ถ้ามี) ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
เพื่อประเมินตนเองว่า มีรายได้ รายจ่าย
ตลอดจนจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
และอัตราที่กฎหมายกำหนด
และให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินความถูกต้องของจำนวนภาษีเงินได้นิติบุคคล
และการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ทางภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีที่พบว่า
มีการเสียภาษีหรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง
ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บหรือดำเนินการตามกรอบของกฎหมาย
ภาษีเงินได้นิติบุคคลกำหนดจัดเก็บเป็นราย “รอบระยะเวลาบัญชี” ซึ่งโดยทั่วไปมีกำหนดเวลา 12
เดือนใดๆ ไม่จำเป็นต้องตรงกับปีปฏิทิน
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต้องคำนึงไว้เสมอว่า
พึงคำนวณและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ถูกต้องตรงตามรอบระยะเวลาบัญชี
จะแสดงรายได้ รายจ่าย ผิดหรือข้ามรอบระยะเวลาบัญชีไม่ได้ มิฉะนั้น
อาจมีโทษทัณฑ์ตามกฎหมาย
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
(3)
กล่าวโดยทั่วไปภาษีเงินได้นิติบุคคลว่า
มุ่งจัดเก็บจากกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามหลักความสามารถในการเสียภาษีอากร
ซึ่งอาศัยพื้นฐานในการจัดทำบัญชีตามหลักการหรือมาตรฐานการบัญชี
ที่พัฒนาถึงขั้นสูงสุดมาก่อนที่จะระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
เราท่านทั้งหลายจึงได้เห็นหลักการบัญชีที่แฝงหรือฝังอยู่ในหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิเป็นอันมาก
โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ที่หลักเกณฑ์ในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากรได้นำ “หลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป” ตามมาตรฐานการบัญชีของประเทศสหรัฐอเมริกามาประยุกต์ใช้
ซึ่งเน้นหลักการคำนวณกำไรสุทธิให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนด
(Rule Base) และยังคงใช้บังคับเพื่อการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายไทยหรือประมวลรัษฎากร
ตราบจนปัจจุบัน
แม้ในทางการบัญชีจะได้ปรับปรุงมาตรฐานการบัญชีให้เป็นไปตามหลักการ
หรือ Principle Base ที่อาศัยการตีความในข้อเท็จจริงในประเด็นนั้นๆ
มากกว่าที่จะยึดถือการกฎเกณฑ์ที่ตายตัวก็ตามที แต่ในทางภาษีอากรก็ยังคงยึดมั่นในความถูกต้องและเกิดขึ้นจริงแล้วของรายการ
โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาหรือข้อเท็จจริงที่ต้องการการตีความแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามนับได้ว่า “หลักการบัญชี”
ได้มีคุณูปการต่อระบบการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นอย่างมาก
การเข้าใจหลักการบัญชีย่อมช่วยให้เข้าถึงหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขทางภาษีอากรได้ง่ายและสะดวกที่จะปฎิบัติตาม อาทิ
หลัก “ทุกเดบิต (ด้านจ่าย) ต้องมีเครดิต (ด้านรับ)
ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน” ถูกนำมาปรับใช้เป็นกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา
65 ตรี (18) แห่งประมวลรัษฎากร ที่บัญญัติว่า “รายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ”
จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ได้
เป็นการสะท้อนหลักความสุจริต โปร่งใส และตรวจสอบยันกันได้
เพราะเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้จ่ายรายจ่ายย่อมต้องมีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้มีรายได้
ซึ่งต้องออกหลักฐานการรับเงินมาให้แก่ฝ่ายผู้จ่ายเงิน
โดยตนเองต้องนำรายได้นั้นไปคำนวณเพื่อเสียภาษีอากรต่อไป
แต่เมื่อฝ่ายผู้จ่ายเงินไม่อาจพิสูจน์ผู้รับเงิน
ก็ทำให้ขาดความเชื่อมโยงไปยังผู้รับ ทำให้รัฐอาจเสียหรือขาดประโยชน์ไป
รัฐจึงกำหนดไม่ยอมให้นำรายการรายจ่ายดังกล่าวมาถือเป็นรายจ่ายในทางภาษีอากร
หลัก “ความสม่ำเสมอ” เช่นเดียวกับรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อนๆ
ซึ่งถือเป็นมาตรฐานการบัญชีที่สำคัญที่จะใช้เปรียบเทียบกันได้ในกิจการเดียวกัน
และในระหว่างกิจการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ได้ถูกนำมาบัญญัติเป็นหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในทางกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวนมาก เช่น
การมีและใช้รอบระยะเวลาบัญชี วิธีการคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวร
วิธีการตีราคาทุนของสินค้า
หลัก “การแยกแยะรายการของกิจการกับส่วนของเจ้าของกิจการ”
ได้ถูกนำมาบัญญัติเป็นมาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากร
ที่ห้ามมิให้นำรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากร
สำหรับหลักการข้ออื่นๆ
จะได้นำมากล่าวในคราวต่อไปครับ
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
(4)
การจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่มุ่งจากกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ตามกฎหมายไทย หรือประมวลรัษฎากร นั้น
เป็นการจัดเก็บภาษีเงินได้ตาม “หลักความสามารถในการเสียภาษี”
โดยใช้ผลการดำเนินกิจการในส่วนที่เป็น “กำไรสุทธิ”
ซึ่งคำนวณหามาได้จากมาตรฐานการบัญชีหรือหลักการบัญชีที่รับรองโดยทั่วไป
ที่ได้รับการพัฒนาเป็น “วิชาชีพ” ที่มีความจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ
โดยนักรัฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ และนักกฎหมาย รวมทั้งนักบัญชีของโลก
ได้ร่วมมือกันนำหลักการบัญชีมาบัญญัติเป็นกฎหมายภาษีเงินได้
แล้วเผยแพร่ให้มีการใช้เพื่อการจัดเก็บภาษีอากรกันไปทั่วโลก
กล่าวกันว่า การแพร่ระบาดของภาษีเงินได้ในโลกใบนี้
เป็นการแพร่ระบาดที่แพร่หลายกว้างขวางและทั่วถึง
เร็วที่สุดระบบหนึ่งที่เคยมีมาในโลกนี้
แม้จะเป็นช่วงที่ยังไม่มีการใช้ระบบไอทีก็ตาม
ในประเทศไทยได้รับอิทธิพลของภาษีเงินได้ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
24 มิถุนายน 2475 และพัฒนาเป็นประมวลรัษฎากรในปี พ.ศ. 2481 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
1 เมษายน 2482 เป็นต้นมา ตราบกระทั่งปัจจุบัน
รูปแบบของภาษีเงินได้ที่ใช้กันในปัจจุบัน ได้เริ่มใช้บังคับเมื่อปี
2496 เป็นต้นมา โดยการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคลใหม่หมด
ในประเทศไทยยึดถือหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
เป็นสองระดับตั้งแต่เริ่มใช้บังคับ กล่าวคือ ระดับที่หนึ่ง
จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากฐานกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
และในระดับที่สอง
จัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
โดยถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร
ในปัจจุบัน อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่จัดเก็บจากกำไรสุทธิกำหนดไว้ที่อัตราร้อยละ
20 ของกำไรสุทธิ ภายหลังการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
จึงคงเหลือกำไรสะสมอยู่อีกร้อยละ 80 ของกำไรสุทธิ
หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้นำกำไรสะสมในส่วนที่เหลือจากการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวมาจ่ายเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
ผู้มีเงินได้ก็จะต้องถูกหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราร้อยละ 10 ของเงินได้
ได้เป็นเงินภาษีรวมทั้งสิ้น 8 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของกำไรสุทธิ
ซึ่งผู้มีเงินได้มีสิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้เท่าที่ถูกหักภาษีเงินได้ไว้ ณ
ที่จ่ายตามมาตรา 48 (3) แห่งประมวลรัษฎากร
ดังนั้น
จึงจะเห็นได้ว่าเมื่อนำจำนวนภาษีเงินได้ทั้งสองระดับมารวมกันก็จะได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น
28 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 28 ของกำไรสุทธินั่นเอง
แต่เมื่อเทียบเคียงกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดสำหรับท่านที่มีเงินได้สุทธิเกินกว่า
2 ล้านบาท ก็จะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 30
และสำหรับเงินได้สุทธิในส่วนที่เกินกว่า 4 ล้านบาท
ก็จะต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 35
ซึ่งผู้มีเงินได้ที่มีเงินได้สุทธิสูงเกินกว่า 2 ล้านบาท
จะต้องรับภาระภาษีเงินได้สูงกว่าผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่มีเงินได้เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
อย่างแน่นอน
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
(5)
โดยทั่วไปภาษีเงินได้นิติบุคคลมุ่งจัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นั้น เป็นการจัดเก็บตามหลัก “ความสามารถในการเสียภาษี”
โดยใช้กำไรสุทธิที่จัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีเป็นเครื่องวัดความสามารถ
ดังนั้น
ในกรณีที่กิจการมีผลประกอบการเป็นขาดทุนสุทธิจึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
และเพื่อความเป็นธรรม
ตามกฎหมายภาษีอากรจึงยอมให้กิจการนำผลขาดทุนสุทธิที่เกิดขึ้นไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาบัญชีต่อไปได้
แต่ต้องไม่เกิน 5 ปีก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปีปัจจุบันตามมาตรา 65 ตรี (12)
แห่งประมวลรัษฎากร
เนื่องจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีทั้งที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
และที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ในส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยนั้น
ใช้หลัก “ถิ่นที่อยู่” เป็นหลักในการจัดเก็บภาษี
ด้วยยึดถือเอาการจดทะเบียนตามกฎหมายไทยว่า
ภูมิลำเนาของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเป็น “ถิ่นที่อยู่”
ดังนั้น แม้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไทยทั้งหลายจะมีรายได้จากแหล่งเงินได้ในต่างประเทศ
ก็ยังต้องนำรายได้จากการประกอบกิจการทั่วโลกนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกฎหมายไทยด้วย
ในส่วนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศนั้น
ท่านใช้หลัก “แหล่งเงินได้” กล่าวคือ
กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศมีหน้าที่เสียเงินได้นิติบุคคลเฉพาะจากรายได้ที่เกิดจากการประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลต่างประเทศเหล่านั้นต้องเข้าองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
จึงจะมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคตามกฎหมายไทย
1. เข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยแห่งเดียวโดยเฉพาะ หรือ
2. ประกอบกิจการในที่อื่นรวมทั้งในประเทศไทย
โดยให้เสียภาษีเงินได้เฉพาะการรายได้ที่เกิดจากการประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
หรือ
3. ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศในที่อื่นรวมทั้งในประเทศไทย
โดยให้เสียภาษีเงินได้เฉพาะรายได้ค่าโดยสารที่เรียกเก็บในประเทศไทย
หรือรายได้ค่าระวางที่เกิดจากขนสินค้าออกจากประเทศไทยเท่านั้น หรือ
4. กรณีมีลูกจ้าง ผู้ทำการแทน
หรือผู้ทำการติดต่อในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย
หรือ
5. มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40 (2)(3)(4)(5) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร
อนึ่ง การที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น “ภาษีอากรประเมิน” ก็เพื่อที่จะวางระบบบริหารการจัดเก็บภาษีอากรที่จัดอยู่ในประเภทภาษีอากรประเมินด้วยกัน
อันได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม
และภาษีธุรกิจเฉพาะที่ได้บัญญัติรวมกันไว้ในกฎหมายฉบับเดียวกันคือ
ประมวลรัษฎากรนั้น ให้เป็นมีมาตรฐานเดียวกัน ในเรื่องต่างๆ อันได้แก่ วิธีการเสียภาษีอากร
เจ้าพนักงานประเมิน
และอำนาจเจ้าพนักงานประเมินในการตรวจสอบความถูกต้องของการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากร
การขอคืนภาษีอากร การปฏิบัติหน้าที่อื่นทางภาษีอากร เช่น การจัดทำบัญชี
การจัดทำรายงาน การแจ้งรายการ เป็นต้น การอุทธรณ์ และบทกำหนดโทษทางภาษีอากร
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล
(6)
โดยเหตุที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งมุ่งจัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
อัน เป็นการจัดเก็บตามหลัก “ความสามารถในการเสียภาษี”
โดยใช้กำไรสุทธิที่จัดทำตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีเป็นเครื่องวัดความสามารถนั้น
ในกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคลลจึงปรากฏหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่ถูกนำมาประยุกต์ให้เป็นหลักเกณฑ์ทางภาษีอากรอยู่เป็นจำนวนมาก
ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจในกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลยิ่งๆ ขึ้นไป
จึงขอนำหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่ถูกนำมาบัญญัติเป็นกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
ในส่วนของข้อสมมติฐานทางการบัญชี
ซึ่งในปัจจุบันในทางบัญชีได้นำมากำหนดเป็นแม่บทการบัญชี ซึ่งประกอบด้วย
หนึ่ง หลักการใช้หน่วยเงินตรา กำหนดให้ใช้หน่วยเงินตราไทย
สอง หลักความเป็นหน่วยงานของกิจการ
ที่กำหนดให้หน่วยงานทางบัญชีเป็นหน่วยงานที่แยกต่างหากจากเจ้าของกิจการและหน่วยงานอื่น
ซึ่งในทางภาษีอากรได้นำมาบัญญัติห้ามมิให้นำรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัวมาถือเป็นรายจ่ายทางภาษีอากร
หลักการใช้หลักฐานอันเที่ยงธรรม
หลักรอบเวลา
โดยกำหนดให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายรอบระยะเวลาบัญชี
หลักความดำรงอยู่ของกิจการ
หลักราคาทุน
หลักการเกิดขึ้นของรายได้
โดยทั่วไปกำหนดให้สอดคล้องกับหลักการบัญชีเพื่ออำนวยให้เกิดความสะดวกในการคำนวณกำไรสุทธิและการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
หลักการจับคู่ค่าใช้จ่ายกับรายได้
ถูกนำมาใช้เพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นนนมา
หลักเงินค้าง ซึ่งในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับให้เป็น “เกณฑ์สิทธิ”
หลักโดยประมาณ
หลักความสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับรอบระยะเวลาบัญชีปีก่อน
เพื่อก่อให้เกิดความมีมาตรฐานและการเสี่ยได้ถูกนำมาบัญญัติเป็นกฏหมายภาษีเงินได้บุคคหลายประการ
อาทิ การใช้รอบระยะเวลาบัญชี วิธีการคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา
การตีราคาสินค้าคงเหลือตามวิธีราคาทุน
หลักการเปิดเผยของข้อมูลอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ยังได้นำข้อควรคำนึงในการใช้ข้อสมมติฐานทางบัญชีมาใช้ในการบัญญัติกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
หลักความระมัดระวัง อาทิ หลักการตีราคาสินค้าคงเหลือตามวิธีราคาทุนหรือราคาตลาดที่ต่ำกว่า
หลักเนื้อหาสำคัญกว่ารูปแบบ
หลักความมีนัยสำคัญ
หลักการปฏิบัติเฉพาะธุรกิจ
การทำความเข้าใจหลักการบัญชีจะมีส่วนให้เกิดความเข้าใจในกฎหมายภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก
แนวคิดภาษีเงินได้นิติบุคคล (7)
แต่อย่างไรก็ตาม
ตามประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดอยู่ในประเภท “ภาษีอากรประเมิน” ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้มีหน้าที่เสีย
รวมทั้งผู้จ่ายเงินได้ที่มีหน้าที่หักภาษีดังกล่าวมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการประเมินความถูกต้องของรายได้
รายจ่าย รวมทั้งจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องเสียหรือนำส่ง แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
และให้เจ้าพนักงานประเมินมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข และอัตรา และปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีอากรตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
เพียงใด
ในกรณีที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่า มีการเสียและนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลไว้ไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
ท่านให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีพร้อมทั้งเบี้ยปรับ
และเงินเพิ่ม
แต่ผู้ต้องเสียหรือนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลมีสิทธิที่จะอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
และศาลภาษีอากร รวมทั้งศาลฎีกาต่อไป
ดังนั้น การเสียภาษีอากรที่ประหยัดที่สุดจึงได้แก่
การเสียภาษีอากรให้ถูกต้องครบถ้วน ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งจะทำให้ผู้ต้องเสียหรือผู้นำส่งภาษีอากรไม่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
ตลอดจนค่าปรับทางอาญาใดๆ อันเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่พึงต้องเสีย
และเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่สูญเปล่า
เนื่องจากในทางภาษีเงินได้นิติบุคคล มีข้อห้ามมิให้นำเบี้บปรับ เงินเพิ่ม
และค่าปรับอาญาตามประมวลรัษฎากรมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากร
อันเป็นผลให้กิจการที่ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม
และค่าปรับทางอาญาเหล่านั้น ต้องปรับปรุงบวกกลับรายจ่ายดังกล่าว
ทำให้จำนวนกำไรสุทธิที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นไปอีก
ซึ่งถือเป็นความเสียหาย
ในการจัดเก็บจากกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเงินได้เป็นสองระดับ คือ
ระดับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่กำหนดให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ซึ่งตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปี 2556 เป็นต้นไป กำหนดจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20
ของกำไรสุทธิ แล้วยังคงจัดเก็บในระดับที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
ด้วยการกำหนดให้มีการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรารร้อยละ 10
ของเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
ซึ่งก็ได้แก่กำไรสุทธิส่วนที่เหลือจากการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลนั่นเอง
อันจะทำให้ภาระภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิโดยรวมสูงสุดเป็นร้อยละ 28 ของกำไรสุทธิ
ซึ่งหลักการนี้ ถูกนำมาปรับใช้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎมายของต่างประเทศ
และเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยด้วยเช่นกัน เพียงแต่ในระดับที่สอง
ได้กำหนดให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการจำหน่ายกำไรสุทธิไปต่างประเทศตามมาตรา
70 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เพื่ออำนวยให้เกิดความเป็นธรรมในการบริหารการจัดเก็บภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
นอกจากนี้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลจัดเป็นภาษีทางตรง (Direct
Tax) ที่กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้
โดยไม่สามารถผลักภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลไปให้บุคคลอื่นรับภาระไม่ได้
ซึ่งในส่วนนี้ได้มีการบัญญัติห้ามมิให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลไปถือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา
65 ตรี (6) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งจะแตกต่างไปจากหลักเกณฑ์ทางบัญชีที่บันทึกค่าภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
อันเป็นความแตกต่างของหลักเกณฑ์ทางบัญชีกับหลักเกณฑ์ทางภาษีอากร
ดังนั้น กำไรสุทธิทางบัญชี จึงย่อมไม่เท่ากับกำไรสุทธิทางภาษีอากร
เพราะมีหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิที่แตกต่างกันหลายต่อหลายรายการ ทั้งนี้ ตามมาตรา
65 มาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลพึงต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้
และปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วน
เพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาในการชำระและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ
ทางภาษีอากรให้ถูกต้องบริบูรณ์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม โดยแท้จริงแล้ว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่มีตัวตน
เพียงแต่เป็นบุคคลโดยผลขอกฎหมายเท่านั้น
บุคคลที่เป็นผู้เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิทั้งหลาย นั้น ได้แก่
ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนที่เป็น “บุคคลธรรมดา”
นั่นเอง