การเลิกกิจการ และการควบโอนกิจการ
บทความวันที่ 8 ม.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 45719 ครั้ง
บทความวันที่ 8 ม.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 45719 ครั้ง
การเลิกกิจการ และการควบโอนกิจการ
1. บทบัญญัติเกี่ยวกับการเลิกกิจการ และการควบโอนกิจการ
การเลิกกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแตกต่างไปจากการควบโอนกิจการซึ่งในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลมีประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเลิกและการควบโอนกิจการดังนี้
1.1 การเลิกกิจการ เป็นไปตามมาตรา 72
แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เลิกกิจการย่อมไม่เกี่ยวพันกับนิติบุคคลอื่น
เว้นแต่ในกรณีเป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน
โดยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลิกกิจการ
(1)
ให้ผู้ชำระภาษีและผู้จัดการมีหน้าที่ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน
15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก
กรณีไม่ปฏิบัติตาม
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1
เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
(2)
เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าวันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่และความรับผิดร่วมกันในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแบบ
ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
(3) ในกรณีกิจการร่วมค้าที่เลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชี
ให้ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชี
ร่วมกับผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการตามที่กล่าวข้างต้น
1.2 กรณีควบหรือโอนกิจการเป็นไปตามมาตรา
73 แห่งประมวลรัษฎากร แบ่งเป็น
กรณีที่ 1 การควบกิจการ หมายถึง การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองกิจการขึ้นไปมาตกลงควบเข้ากัน
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ควบกิจการเข้าด้วยกันต้องเลิกกิจการไปทั้งหมด
แล้วโอนกิจการให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่
เพื่อดำเนินกิจการต่อไป
(1) เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี
ให้ถือว่าแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งควบเข้ากันนั้นได้เลิกกัน
และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันได้ควบเข้ากัน
มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีแทนแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งให้ถือว่าเลิกกันนั้น
(2)
กรณีบริษัทจำกัดควบกิจการ ให้กรรมการของบริษัทนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่
มีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชีในกรณีเลิกกิจการตามมาตรา 72
แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ มีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน
15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก
มิฉะนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
กรณที่ 2 การโอนกิจการ หมายถึง
การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองกิจการขึ้นไปมาตกลงโอนกิจการให้แก่กัน
โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่โอนกิจการทั้งหมดต้องเลิกกิจการ
ส่วนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้รับโอนกิจการยังคงดำเนินกิจการต่อไป
(1) เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี
ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้โอนกิจการนั้นได้เลิกกัน
และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอันได้รับโอนกิจการ
มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีแทนแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้โอนกิจการนั้น
(2)
กรณีบริษัทจำกัดโอนกิจการ ให้กรรมการของบริษัทที่รับโอน
มีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชีในกรณีเลิกกิจการตามมาตรา 72
แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ มีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ
สำนักงานสรรพากรพื้นที่ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน
15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก
มิฉะนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
2.
การโอนกิจการของผู้ประกอบการจดทะเบียน ในทางภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในทางภาษีมูลค่าเพิ่มมีประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโอนกิจการไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนดังนี้
2.1
ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้โอนและผู้รับโอนกิจการต้องแจ้งการโอนต่อเจ้าพนักงานสรรพากร
ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาท้องที่ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตั้งอยู่ให้ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
15 วันก่อนวันโอนกิจการ ตามมาตรา 85/13 แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 สินค้าที่มีอยู่ ณ
วันโอนกิจการถือเป็นการขาย เว้นแต่กรณีโอนกิจการทั้งหมดตามมาตรา 77/1 (8)
แห่งประมวลรัษฎากร
3.
การตีราคาทรัพย์สินกรณีเลิกกิจการ
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ตีราคาทรัพย์สินที่มีอยู่ ณ
วันเลิกกิจการให้เป็นตามราคาตลาดในวันเลิกกิจการนั้น
ก่อให้เกิดผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
3.1 กรณีทรัพย์สิน ณ
วันเลิกมีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี ก่อให้เกิดผลขาดทุนจากการตีราคาทรัพย์สิน
ให้นำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เลิกกิจการนั้น
3.2 กรณีทรัพย์สิน ณ
วันเลิกมีราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี ก่อให้เกิดผลกำไรจากการตีราคาทรัพย์สิน
ให้นำไปถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เลิกกิจการนั้น
เหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้มีการดำเนินการดังเช่นที่กล่าวข้างต้น
ก็เพื่อที่จะให้ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นมีส่วนได้ส่วนเสีย (Equity)
ในกิจการตามจำนวนที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง เพราะในท้ายที่สุดหลังจากที่ได้เลิกการและมีการชำระบัญชีเสร็จสิ้นแล้ว
กิจการต้องคืนทุนและจ่ายส่วนเกินทุน (ถ้ามี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน
ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร
4.
ตีราคาทรัพย์สินการควบกิจการหรือการโอนกิจการ
ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกัน
ให้ตีราคาทรัพย์สินที่มีอยู่ ณ
วันเลิกกิจการให้เป็นตามราคาตลาดในวันเลิกกิจการนั้น
ก่อให้เกิดผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
4.1
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ต้องจดทะเบียนเลิกกิจการเพราะการควบกิจการหรือโอนกิจการ
ให้ตีตามราคาตลาดในวันที่ควบเข้ากัน
แต่ไม่ให้ถือว่าราคาดังกล่าวเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมอันได้ควบกิจการหรือโอนกิจการนั้น
ซึ่งมีเหตุผลในทางภาษีอากรและธุรกิจเช่นเดียวกับกรณีเลิกกิจการทั่วไป ที่จำเป็นต้องคำนวณหาส่วนได้ส่วนเสีย
(Equity) ของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน
ในอันที่จะเข้าร่วมในกิจการที่ได้ตั้งขึ้นใหม่จากการควบกิจการ
หรือในกิจการที่ได้รับโอนกิจการ
4.2
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันเกิดแต่การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบกิจการเข้าด้วยกัน
หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้รับโอนกิจการ
(1)
ให้ถือราคาของทรัพย์สินนั้นตามราคาที่ปรากฏในบัญชีของบริษัท
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมในวันที่ควบเข้ากันเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
จนกว่าจะได้มีการจำหน่ายทรัพย์สินนั้นไป ทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอ
และค่าเสื่อมราคาก็ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข
และอัตราที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมใช้อยู่เพียงเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้นเท่านั้น
ทั้งนี้
เนื่องจากในทางกฎหมายให้ถือเสมือนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้เลิกกิจการเพราะเหตุของการควบกิจการหรือโอนกิจการนั้นยังคงประกอบกิจการต่อเนื่องไป
(Going
Concern Assumption)
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการในทางบัญชีให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันเกิดแต่การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบกิจการเข้าด้วยกัน
หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้รับโอนกิจการ
ผู้ซึ่งรับโอนทรัพย์สินยังคงบันทึกรายการทางบัญชีเกี่ยวกับทรัพย์สินที่รับโอนตามราคาตลาดที่ได้ตกลงรับโอนมา
และคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินตามราคาตลาดที่ได้ตกลงรับโอนกันนั้นในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางบัญชี
แล้วทำการปรับปรุงรายการที่แตกต่างจากหลักเกณฑ์ทางภาษีอากรตามมาตรา 74(1)(ข) และ
(ค) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในแบบแสดงรายการ
ภ.ง.ด.50 ต่อไป
(ก)
กรณีทรัพย์สินที่รับโอนมีราคาตลาดต่ำกว่าราคาทางบัญชี
ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของมูลค่าต้นทุนในส่วนเกินกว่าราคาตลาดที่ได้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร
ต้องถูกปรับปรุงกลับมาเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินนั้น
(ข)
กรณีทรัพย์สินที่รับโอนมีราคาตลาดสูงกว่าราคาทางบัญชี
ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของมูลค่าต้นทุนในส่วนเกินกว่าราคาทางบัญชีที่ได้ปรับปรุงบวกกลับ
โดยไม่ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร
ต้องถูกปรับปรุงกลับมาเป็นรายจ่ายหรือต้นทุนของทรัพย์สินในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินนั้น
(2)
ห้ามมิให้นำผลขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
5. การยกเว้นภาษีอากรสำหรับการโอนกิจการทั้งหมด
ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 มีบทบัญญัติที่กำหนดให้ยกเว้นภาษีอากรสำหรับการโอนกิจการทั้งหมดดังนี้
5.1 สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล
“มาตรา 5 สัตตรส
ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทสำหรับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการที่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
โดยโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมด
ทั้งนี้
เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุนและการโอนหุ้นที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมด
การควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามวรรคหนึ่ง
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 542) พ.ศ. 2555
ใช้บังคับวันที่ 19 กันยายน 2555 เป็นต้นไป)
5.2 สำหรับภาษีธุรกิจเฉพาะ
“มาตรา 5 โสฬส
ให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับรายรับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ขายมีไว้ในการประกอบกิจการ
เฉพาะการโอนอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
หรือบริษัทจำกัดควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 330) พ.ศ. 2541
ใช้บังคับ 17 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไป)
5.3 สำหรับอากรแสตมป์
มาตรา 6
ให้ยกเว้นอากรแสตมป์ ตามหมวด 6 ลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร แก่...
“(31) ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
เฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 357) พ.ศ. 2542 ใช้บังคับ
2 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไป)
5.4
สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตามข้อ 2 (50) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126
(พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง
ฉบับที่ 291 (พ.ศ. 2555) ใช้บังคับตั้งแต่ 14 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากการที่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
โดยโอนหุ้นเพื่อแลกกับหุ้นในบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมด
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้
เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
และการโอนหุ้นที่ได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมด”
5.5
กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากัน หรือโอนกิจการทั้งหมด
ให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 โสฬส มาตรา 5 สัตตรส และมาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 และข้อ 2
(50) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากร
ได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันจึงกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัด
หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นภาษีอากรตามพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงดังกล่าว
ไว้ดังต่อไปนี้
การควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน
จำกัดหรือบริษัทจำกัด จะต้องมีลักษณะและหรือเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัท
มหาชน จำกัด และบริษัทจำกัด ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(2) ให้บริษัทมหาชน จำกัด
หรือบริษัทจำกัด อันได้ตั้งขึ้นใหม่ด้วย ควบเข้ากันนั้น และบริษัทมหาชน จำกัด
หรือบริษัทจำกัดผู้รับโอน แจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้น จำนวนหุ้น และมูลค่าหุ้น
ตามทะเบียนหุ้นทั้งของต่างบริษัทที่ควบเข้ากัน บริษัทที่ตั้งใหม่ บริษัทผู้โอน
และบริษัทผู้รับโอน ต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทใหม่ กรณีควบ หรือนับแต่วันจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรณีโอน
ตามแบบที่อธิบดีกำหนด ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทมหาชน
จำกัด หรือบริษัทจำกัด อันได้ตั้งขึ้นใหม่ด้วย ควบเข้ากัน และบริษัทมหาชน จำกัด
หรือบริษัทจำกัด ผู้รับโอน แล้วแต่กรณี
(3) บริษัทที่ควบเข้ากัน
และบริษัทผู้โอนหรือผู้รับโอนจะต้องไม่เป็นลูกหนี้ภาษีอากรค้างของกรมสรรพากร ณ
วันที่ควบหรือวันที่โอน เว้นแต่ได้จัดให้มีธนาคารหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้ภาษีอากรค้างและค่าใช้จ่ายในการบังคับหนี้ดังกล่าวแล้ว
(4) กรณีการโอนกิจการให้แก่กัน
บริษัทผู้โอนกิจการต้องจดทะเบียนเลิกและมีการชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่โอนกิจการนั้น
(5) ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติ
ให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจวินิจฉัย และคำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากร
ให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศนี้ด้วย
กำหนดให้แบบต่อไปนี้เป็นแบบสำหรับการแจ้งรายการกรณีการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
เพื่อยกเว้นรัษฎากร
(1) แบบ ค.อ.1 แบบแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นและแจ้งการเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรสำหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
(2) แบบ ค.อ.2
แบบแจ้งรายชื่อบริษัทที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
(3) แบบ ค.อ.3
แบบแจ้งรายชื่อผู้ถือหุ้นสำหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
(4) แบบ ค.อ.4 แบบแจ้งการเป็นลูกหนี้ค่าภาษีอากรสำหรับการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัด
ตัวอย่างแนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากร
เลขที่หนังสือ : 0702/663 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557
เรื่อง : ภาระภาษีอากร
กรณีการโอนกิจการทั้งหมด
ข้อกฎหมาย : มาตรา 74
แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ
1. กลุ่มบริษัทฯ
ได้รับสินเชื่อจากธนาคารฯ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (รีไฟแนนซ์)
โดยเงื่อนไขหนึ่งของการรีไฟแนนซ์
กำหนดให้บริษัทในกลุ่มโอนกิจการทั้งหมดรวมถึงที่ดินและอาคารที่มีมูลค่าสูงของบริษัท
เอ็ม (บริษัทผู้รับโอน)
ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นใหม่ให้เป็นเจ้าของโรงแรมและเป็นผู้กู้เงินจากธนาคารฯ
บริษัทฯ อื่น ๆ ในเครือได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กระทรวงพาณิชย์เรียบร้อยแล้วในปี 2554 เช่นกัน
2. บริษัท เอ็ม
และบริษัท ดี บริษัทในเครือซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีปกติ ๑ มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม
ได้ยื่นแบบคำขอโอนกิจการทั้งหมด (แบบ คอ. ๑ - ๔) ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร
๑๔ และสำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๑๔
ได้ออกหนังสือแจ้งการควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทดังกล่าวไปยังกรมที่ดินเพื่อประกอบการยกเว้นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
3. บริษัท เอ็ม
และบริษัท ดี บริษัทในเครือได้โอนกิจการที่ดินและอาคารทั้งหมดให้แก่บริษัทผู้รับโอนแล้วในปี
2554
4. รายการคงเหลือในงบดุล
ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนกิจการ ที่มิได้โอนไปยังบริษัทผู้รับโอน
สรุปได้ดังนี้
4.1 ลูกหนี้กรมสรรพากร
เช่นสิทธิในการขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งเกิดจากรายการค้าก่อนวันโอนกิจการ
4.2 เงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า
ประปา
4.3
ลูกหนี้การค้าและเจ้าหนี้การค้า สำหรับรายการค่าเช่าอุปกรณ์
เครื่องมือระหว่างบริษัทในเครือ ซึ่งได้ชำระเสร็จสิ้นแล้วระหว่างชำระบัญชี
4.4 เจ้าหนี้ค่าวิชาชีพสอบบัญชี
4.5
มูลหนี้ตามกฎหมายสำหรับมูลค่าทรัพย์สินและหนี้สินตามสัญญาโอนกิจการทั้งหมดที่บริษัทผู้รับโอนกิจการต้องชำระให้แก่บริษัทผู้โอนกิจการ
อันเนื่องมาจากการตีราคาตลาดในการโอนกิจการทั้งหมด
กลุ่มบริษัทฯ
จึงหารือดังนี้
1. กรณีบริษัท เอ็ม
บริษัท ดี จำกัด และบริษัทอื่นๆในเครือ
ได้โอนกิจการตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นเข้าลักษณะเป็นการโอนกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีอากร
ตามมาตรา 5 โสฬส มาตรา 5 สัตตรส และมาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 126
(พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่
2.
กรณีบริษัทผู้โอนมีทรัพย์สินและหนี้สินคงเหลือ ณ วันที่มีการโอนกิจการทั้งหมดที่บริษัทไม่ได้โอนให้กับผู้รับโอนกิจการ
และเนื่องจากรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินเหล่านั้นเป็นสิทธิเฉพาะของผู้โอนกิจการ
และเป็นรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินที่เกิดจากการดำเนินการที่เสร็จสิ้นก่อนวันโอนกิจการ
ไม่เข้าลักษณะเป็นการขาย ตามบทนิยามของคำว่า "ขาย" ในมาตรา 77/1 (8)(ฉ)
แห่งประมวลรัษฎากร ถูกต้องหรือไม่
3.
กรณีภายหลังบริษัทผู้โอนจดทะเบียนเลิกกิจการ
และได้จ่ายเงินคืนให้ผู้ถือหุ้นเป็นจำนวนเงินที่เกินกว่าเงินลงทุน
ผู้ถือหุ้นดังกล่าวจะได้รับยกเว้นภาษีอากรตามมาตรา 5 สัตตรส แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 ประกอบกับข้อ 2 (50) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)ฯ
ถูกต้องหรือไม่
แนววินิจฉัย
1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
กรณีบริษัทผู้โอนได้จดทะเบียนเลิกกิจการและมีการชำระบัญชีในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนกิจการ
แม้ยังไม่เสร็จการชำระบัญชีก็ตาม
ทรัพย์สินที่บริษัทผู้โอนได้โอนให้กับบริษัทผู้รับโอนจะต้องตีราคาตามราคาตลาดในวันที่จดทะเบียนเลิก
แต่ไม่ให้ถือราคาดังกล่าวเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทผู้โอน
ดังนั้น หากราคาตลาดนั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาทุน
ผลกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้น
บริษัทผู้โอนไม่ต้องนำมาถือเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตามมาตรา 74 (1) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
การโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันระหว่างบริษัทผู้โอนกับบริษัทผู้รับโอน
หากบริษัทผู้รับโอนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
และบริษัทผู้โอนได้หยุดประกอบกิจการตั้งแต่วันโอนกิจการเป็นต้นไป
แม้ว่าบริษัทผู้โอนจะไม่สามารถโอนบัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้คงเหลือบางรายการให้กับบริษัทผู้รับโอน
แต่โดยที่บัญชีลูกหนี้และเจ้าหนี้คงเหลือนั้น
เกิดจากการดำเนินกิจการที่เสร็จสิ้นก่อนวันโอนกิจการ
การโอนกิจการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการโอนกิจการทั้งหมดซึ่งไม่ถือเป็นการขายตามมาตรา 77/1 (8)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทผู้โอนจึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการโอนกิจการดังกล่าวแต่อย่างใด
3.
ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์
การโอนกิจการของกลุ่มบริษัทฯ
ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามข้อ 2 (1)
และ (4) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด
หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542
ออกตามความในมาตรา 5 โสฬส มาตรา 5 สัตตรส มาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 และข้อ 2 (50) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)ฯ แล้ว
และหากบริษัทผู้โอนหรือบริษัทผู้รับโอน ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขอื่นตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฯ ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542
แล้ว การโอนอสังหาริมทรัพย์อันเนื่องมาจากการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ตามมาตรา 5 โสฬส และมาตรา 6 (31)
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
4.
กรณีผู้ถือหุ้น
ผลประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้นได้รับจากการคืนทุนในส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุนเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร และการโอนกิจการของกลุ่มบริษัทฯ ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขตามข้อ 2 (1) และ (4) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันของบริษัทมหาชน จำกัด หรือบริษัทจำกัด เพื่อยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 ออกตามความในมาตรา 5 โสฬส มาตรา 5 สัตตรส มาตรา 6 (31) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500 และข้อ 2 (50) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ( พ.ศ. 2509) ฯ แล้ว และหากบริษัทผู้โอนหรือบริษัทผู้รับโอน ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขอื่นตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฯ ลงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2542 แล้ว ผู้ถือหุ้นที่เป็นบุคคลธรรมดาได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามข้อ 2 (50) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)ฯ และผู้ถือหุ้นที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้รับยกเว้ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา ๕ สัตตรส แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2500
อนึ่ง การยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าว
ใช้เฉพาะกับผลประโยชน์จากการคืนทุนในส่วนที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุนซึ่งเกี่ยวข้องกับการโอนกิจการทั้งหมดเท่านั้น
เลขตู้ : 77/38869