ประมวลรัษฎากร ไม่รู้ไม่ได้แล้ว
บทความวันที่ 4 ม.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 12744 ครั้ง
บทความวันที่ 4 ม.ค. 2560 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 12744 ครั้ง
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2481
1. เกริ่นนำ
กฎหมายภาษีอากรสมัยใหม่ถูกบัญญัติขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยคณะราษฎร์
และรัฐบาลในขณะนั้น เพื่อความทันสมัยการบริหารแผ่นดิน และมีเงินรายได้ (Revenue)
เพียงพอต่อการใช้จ่ายงบประมาณ เริ่มตั้งแต่
พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ พ.ศ. 2475 พระราชบัญญัติภาษีการค้า
พ.ศ. 2475 พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติภาษีการธนาคารและประกันภัย พ.ศ. 2476 ซึ่งใช้ควบคู่กันไปกับกฏหมายภาษีอากรดั้งเดิมของประเทศไทยที่มีต่อเนื่องมาก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
อาทิ พระราชบัญญัติเงินรัชชูปการ พ.ศ. 2468 พระราชบัญญัติลักษณะเก็บเงินค่านา
พ.ศ. 2468 พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บภาษีค่าที่ไร่อ้อย พ.ศ.
2464 พระราชบัญญัติเปลี่ยนวิธีการเก็บภาษียา ร.ศ. 119
และ ประกาศพระราชทานยกเงินอากรสวนใหญ่ค้างเก่า
และเดินสำรวจต้นผลไม้ใหม่ สำหรับเก็นเงินอากรสวนใหญ่ ร.ศ. 130 ตามที่มีการยกเลิกโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2481
การมีกฎหมายภาษีอากรที่มุ่งจัดเก็บภาษีอากรจากราษฎรหรือประชาชนหลายฉบับ
เป็นสิ่งที่ไม่สะดวกในการบังคับใช้
และอาจสร้างความแตกต่างของมาตรฐานในการบริหารการจัดเก็นภาษีอากรได้
จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 ขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2481 โดยให้มีผลใช้บังคับในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482
หรือในอีก 1 ปีถัดมา
เพื่อการเตรียมการใช้บังคับ
และให้โอกาสแก่ประชาชนได้ศึกษาและรับทราบถึงเนื้อหาของกฎหมายภาษีอากรสมัยใหม่ทั้งหมด
ในรูปของ "ประมวลรัษฎากร"
คำว่า "รัษฎากร"
มีรากศัพท์มาจากคำว่า "ราษฎร" สนธิกับคำว่า "อากร"
โดยเปลี่ยนสระอา เป็นสระอะ ลดรูปเป็นไม้หันอากาศเพราะมีตัวสะกด ตัด "ร"
และ "อ" ออก แล้วสนธิเข้ากัน เป็น "รัษฎากร" ซึ่งแปลว่า
ภาษีอากรที่จัดเก็บจากราษฎรหรือประขาชน ดังนั้น "ประมวลรัษฎากร"
จึงหมายถึง กฎหมายภาษีอากรที่จัดเก็บจากราษฎรในรูปพระราชบัญญัติหลายฉบับที่ถูกรวบรวมเข้ามาไว้เป็นกฎหมายฉบับเดียวในรูปของ
"ประมวลกฎหมาย" หรือ
ประมวลกฎหมายภาษีอากรทั้งหลายบรรดาที่จัดเก็บจากราษฎร
เป็นธรรมเนียมปฏบัติของการตรา
"ประมวลกฎหมาย" ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ที่กำหนดให้ต้องมี
"พระราชบัญญัติให้ใช้" ซึ่ง "ประมวลรัษฎากร"
ก็เป็นเช่นนั้นโดยมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2481 ลำดับศักดิ์ของ "ประมวลรัษฎากร"
จึงเทียบเท่ากับ "พระราชบัญญัต" หรือ "พระราชกำหนด"
การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร จึงต้องแก้ไขด้วยกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์เท่ากัน
คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร พ.ศ. ....
หรือกฎหมายอื่นที่มีศักดิ์เทียยเท่าพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด เช่น
ประกาศของคณะปฏิวัติ (ปว.) ประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นต้น
2. รูปแบบของกฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู้หัวทรงตราขึ้น
2.1 มีคำว่า
"พระราช" นำหน้าชื้อกฎหมาย เว้นแต่รัฐธรรมนูญ
อันเป็นกฎหมายสูงสุดว่าด้วยการปกครองประเทศ เว้นคำว่า "พระราชนำหน้า"
แต่ก็ต้องตราขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกัน
2.2 ท้ายชื่อกฎหมาย
ระบุปีพุทธศักราช ที่ทรงตรากฎหมายนั้น ซึ่งสัมพันธ์ปีที่ทรงขึ้นครองราชย์ โดยจะเปลี่ยนแปลงในทุกวันที่
1 ของปีพุทธศักราชที่ทรงครองราชย์ เช่น ปีพุทธศักราช 2481
เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
หมายความว่า ทรงครองราชย์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2477
ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ ให้นับปีพุทธศักราชที่ทรงขึ้นครองราชย์เป็นปีที่
1 เมื่อเปลียนปีพุทธศักราชก็ให้นับเป็นปีที่ 2 และนับเช่นนั้นในปีต่อๆ ไป
พระราชบัญญัติ
ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พุทธศักราช
2481
-----------------------------------------
ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 4 สิงหาคม
พุทธศักราช 2480)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2481
เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน
2.4 เจตนารมย์ในการตรากฎหมาย
จะแสดงไว้ที่หมายเหตุท้ายกฎหมายฉบับนั้น
แต่สำหรับพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 ได้แสดงไว้ที่ย่อ หน้าแรกของกฎหมาย
2.5 มาตราแรกของกฎหมายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตราขึ้น
โดยทั่วไปจะเป็น "ชื่อกฎหมาย" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
2.6 มีการระบุวันที่กฎหมายใช้บังคับโดยแสดงให้เห็นชัดแจ้งในกฎหมาย
2.7 มีผู้สนองพระบรมราชโองการ ตามหลัก The King can
do no Wrong. ซึ่งปกป้องพระมหากษัตริย์ที่จะไม่ทรงถูกฟ้องร้องบังคับดดี
จากการบัญญัิตกฎหมย ได้แก่
(1) นายกรัฐมนตรี สำหรับกฎหมายที่ว่าด้วยอำนาจในการบริการราชการแผ่นดิน
(2) ประธานรัฐสภา
สำหรับกฎหมายที่ว่าด้วยอำนาจในทางนิติบัญญัติ
(3) ปรธานศาลฎีกา
สำหรับกฎหมายที่ว่าด้วยอำนาจในทางตุลาการ
(4) ประธานองคมนตรี
สำหรับกฎหมายที่ด้วยองคมนตรี
3. เจตนารมณ์ในการตรา "ประมวลรัษฎากร"
เจตนารมณ์ในการตรา
"พระราชบัญญัติให้ใช่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481" ปรากฏในวรรคแรกของพระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ "สมควรตราประมวลรัษฎากร
เพื่อปรับปรุงการรัษฎากรตามหลักความเป็นธรรมแก่สังคม"
3.1 หลักความเป็นธรรมแก่สังคม
เป็นส่วนหนึ่งของลักษณะภาษีอากรที่ดี ที่ประกอบด้วย
(1) เป็นธรรม
(2) แน่นอน
(3) สะดวก
(4) ประหยัด
(5) อำนวนรายได้
(6) เป็นกลางทางเศรษฐกิจ
(7) ยืดหยุ่น
3.2 จึงเป็นที่ชัดเจนว่า
การตราบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรนี้ขึ้นมา เพื่อความเป็นธรรมแก่สังคม การตีความ
การบังคับใช้จึงต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายเท่านั้น
4. โครงสร้างพระราชบัญญัติให้ใช่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481
พระราชบัญญัติให้ใช่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2481 แบ่งออกเป้น 6 มาตรา ดังนี้
มาตรา 1 ชื่อกฎหมาย ซึ่งบัญญัติว่า กฎหมายนี้ให้เรียกว่า
"พระราชบัญญัติให้ใช่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481"
มาตรา 2 กำหนดวันที่ใช้บังคับกฎหมายฉบับนี้ โดยบัญญัติว่า ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2582 เป็นต้นไป
เหตุที่ต้องกำหนดให้กฎหมายนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่
1 เมษายน พ.ศ. 2482 หรืออีก 1
ปี ถัดจากวันที่ตรากฎหมาย นอกจากจะเป็นการเตรียการใช้บังคับแล้ว
ในขณะนั้นการเปลี่ยปีของประเทศไทย (ปีใหม่) ให้ใช้วันที่ 1 เมษายนของทุกปี
เรียกว่า "ปีปฏิทินหลวง" มีกำหนดเวลา 12 เดือน คือ
นับแต่วันที่ 1 เมษายน จนถึงวันที่ 31 มีนาคม
ของปีถ้ดไป
ต่อมาในปี
พ.ศ. 2483 ไดมีการตราพระราชบัญญัติ ปีประดิทิน พ.ศ. 2483
ขึ้น โดยกำหนดให้ถือเอาวันที่ 1 มกราคม
ของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นปี ทั้งนี้ นับแต่ปี พ.ศ. 2484 เป็นต้นมา
ซึ่งได้มีการแก้ไข คำว่า "ปีภาษี" ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
ที่เดิมบัญญัติให้หมายความว่า "ปีปฏิทินหลวง" เป็น
"ปีประดิทิน" และคำว่า "เดือนภาษี" ตมมมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร ให้หมายความว่า "เดือนประดิทิน" นับแต่วันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2484 เป็นต้นมาจวบจนปัจจุบัน
มาตรา 3 กำหนดให้ใช้ประมวลรัษฎากรตามที่ตราไว้ต่อท้ายพระราชบัญญัตินี้ เป็นกฎหมาย
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482 เป็นต้นไป
เว้นแต่บทบัญญัติในลักษณะ 2 หมวด 6 ว่าด้วยอากรแสตมป์นั้น
ให้ใช้เป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2482 เป็นต้นไป หรือเป็นเวลาอีก 61 วัน
ซึ่งช้ากว่าบทบัญญัติอื่นใดทั้งหลายในประมวลรัษฎากร
สาเหตุที่หมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ต้องใช้บังคับล่าช้าไปกว่าบทบัญญัติอื่นอีก 61 วัน
นั้นเป็นผลมาจากตามมาตรา 4 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ได้กำหนดให้อำนาจแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในอันที่จะออกกฎกระทรวง
เพื่อให้ใช้หรือยกเลิกแสตมป์ โดยกำหนดให้นำมาแลกเปลี่ยนกับแสตมป์ที่ใช้ได้
ภายในเวลาและเงื่อนไขที่กำหนด แต่ต้องให้เวลาไม่น้อยกว่าหกสิบวัน
เนื่องจากในขณะนั้น มีการใช้บังคับตามพระราชบัญญัติอากรแสตมป์ พ.ศ. 2475 อยู่
จึงจำเป็นที่ต้องมีการให้กำหนดเวลาในการนำแสตมป์เก่าตามพระราชบัญญัติอากรแสตมป์
พ.ศ. 2475 มาแลกกับแสตมป์ใหม่ตามหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 60
วัน ซึ่งกำหนดเวลาระหว่างวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.
2482 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2482
เป็นระยะเวลา 61 วัน
ไม่น้อยกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว
มาตรา 4 กำหนดให้ยกเลิกกฎหมายภาษีอากรทั้งกฎหมายดั้งเดิมและกฎหมายสมัยใหม่ที่บัญญัติขึ้นอีก
4 ฉบับดังนี่
(1) พระราชบัญญัติเงินรัชชูปการ พ.ศ. 2468 ได้ถูกยกเลิกไปโดยเด็ดขาด
กล่าวคือ นับแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482 เป็นต้นไป ชายไทยทุกต้องเป็นทหาร
ไม่สามารถผลัดผ่อนโดยการจ่ายเงินให้แก่ทางราชการตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
เพื่อยกเว้นการเกณฑ์ทหารได้อีกต่อไป
(2)
พระราชบัญญัติลักษณะเก็บเงินค่านา พ.ศ. 2468 พระราชบัญญัติลักษณะการเก็บภาษีค่าที่ไร่อ้อย
พ.ศ. 2464 พระราชบัญญัติเปลี่ยนวิธีการเก็บภาษียา ร.ศ. 119
และ ประกาศพระราชทานยกเงินอากรสวนใหญ่ค้างเก่า
และเดินสำรวจต้นผลไม้ใหม่ สำหรับเก็นเงินอากรสวนใหญ่ ร.ศ. 130 และบรรดาพิกัดอัตรา ข้อบังคับ กฎ ประกาศ และบทกฎหมายอื่น
ซึ่งออกเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมหรือดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ถูกนำมาตราเป็น
ลักษณะ 3 ภาษีบำรุงท้องที่ ตั้งแต่มาตรา 144 ถึงมาตรา 164
และบัญชีอัตราภาษีบำรุงท้องที่
(3) พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ ถูกนำมาบัญญัติเป็นหมวด 3 ภาษีเงินได้ ในลักษณะ
2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มาตรา 38 ถึงมาตรา 76 และบัญชีอัตราภาษีเงินได้
(4)
พระราชบัญญัติภาษีการค้า พ.ศ. 2475 ถูกนำมาบัญญัติเป็นหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ
2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มาตรา 77 ถึงมาตรา 93 และบัญชีอัตราภาษีการค้า
(5)
พระราชบัญญัติภาษีการธนาคารและประกันภัย พ.ศ. 2476
ถูกนำมาบัญญัติเป็นส่วนหนึ่งของหมวด 4 ภาษีการค้า ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ตั้งแต่มาตรา 77 ถึงมาตรา 93 และบัญชีอัตราภาษีการค้า
(6)
พระราชบัญญัติอากรแสตมป์ พ.ศ. 2475 ถูกนำมาบัญญัติเป็นหมวด 6 อากรแสตมป์ ในลักษณะ
2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มาตรา 103 ถึงมาตรา 129
นอกจากนี้
ยังได้เพิ่มหมวด 5 ภาษีป้าย ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มาตรา 84
ถึงมาตรา 102 และหมวด 7 อากรมหรสพ ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ตั้งแต่มาตรา 130
ถึงมาตรา 143 ขึ้นใหม่อีกด้วย
มาตรา 5 กำหนดบทเฉพาะกาลขึ้น
เพื่อจัดเก็บภาษีอากรที่ได้ถูกยกเลิกไปตามมาตรา 4 ดังกล่าว โดยบัญญัติว่า
“มาตรา
5 บรรดาพระราชบัญญัติ ประกาศ พิกัดอัตรา ข้อบังคับ กฎ และบทกฎหมาย
ที่ให้ยกเลิกตามความในมาตรา 4 วรรคแรกนั้น
ยังคงให้ใช้บังคับได้ในการเก็บภาษีอากรจำนวนพุทธศักราชต่าง ๆ ก่อนใช้ประมวลรัษฎากร
ส่วนพระราชบัญญัติ พิกัดอัตรา ข้อบังคับ กฎ และบทกฎหมาย ที่ให้ยกเลิกตามความในมาตรา
4 วรรคสุดท้าย ก็ยังคงให้ใช้บังคับได้ในการเก็บอากร
ที่จะพึงเรียกเก็บได้ก่อนใช้บทบัญญัติในลักษณะ 2 หมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยอากรแสตมป์”
มาตรา 6
กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีหน้าที่รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
5. บทสรุป
พระราชบัญญัติให้ใช่บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2481 นับกฎหมายที่มีขึ้นเพื่อการตรา “ประมวลกฎหมาย”
ฉบับแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงกาปกครอง และเป็นรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน
สามารถนำไปปรับใช้กับประมวลกฎหมายฉบับอื่นๆ ได้ มีเจตนา เพื่อรวบรวมกฎหมายภาษีอากรทั้งหลายบรรดาที่จัดเก็บจากประชาชน
ที่รวมเรียกว่า “ภาษีสรรพากร” มาบัญญัติรวมกันไว้เป็นกฎหมายเพียงฉบับเดียว
โดยคำนึงถึงหลักภาษีอากรที่ดิ และนำลักษณะภาษีอากรที่ดีทั้งหลายมากำหนดเป็นเจตนรมณ์ของกฎหมาย
และเป็นมาตรฐานในการบัญญัติและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่ต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม