ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีซื้อชื่อบริษัทผิด
บทความวันที่ 2 ต.ค. 2559 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 20989 ครั้ง
บทความวันที่ 2 ต.ค. 2559 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 20989 ครั้ง
ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีซื้อชื่อบริษัทผิด
ตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ)
แห่งประมวลรัษฎากร
ได้บัญญัติเงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่ายต้องห้ามที่เป็นภาษีซื้อไว้ดังนี้
มาตรา 65 ตรี รายการต่อไปนี้
ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ...
(6 ทวิ) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระหรือพึงชำระ
และภาษีซื้อของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
เว้นแต่ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีซื้อของผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งต้องเสียภาษีตามมาตรา
82/16 ภาษีซื้อที่ต้องห้ามนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา
82/5 (4) หรือภาษีซื้ออื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
ซึ่งได้แก่ มาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2534 ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 3
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำภาษีซื้อตามมาตรา 82/5
(6) แห่งประมวลรัษฎากร ไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
1. ภาษีซื้อที่ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
จากบทบัญญัติดังกล่าว
อาจสรุปภาษีซื้อที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ ได้ดังนี้
1.1 ภาษีซื้อของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน
1.2 ภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5
(1)(2)(3) และ (5) แห่งประมวลรัษฎากร
ประกอบด้วย
1.2.1 กรณีตามมาตรา 82/5
(1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่
กรณีไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ
เว้นแต่จะเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขตามข้อ 1 และข้อ 2 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) ดังต่อไปนี้
"ข้อ 1
กรณีไม่มีใบกำกับภาษีตามมาตรา 82/5 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้ประกอบการไม่มีสิทธินำภาษีซื้อไปหักในการคำนวณภาษี
ข้อ
2 กรณีมีใบกำกับภาษีแต่ไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อตามมาตรา
82/5 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
ให้ผู้ประกอบการมีสิทธินำภาษีซื้อไปหักในการคำนวณภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(ก) ใบกำกับภาษีถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย เช่น อัคคีภัย อุทกภัย หรือวาตภัย
ซึ่งต้องมีหลักฐานทางราชการหรือหลักฐานอื่นที่เชื่อถือได้ว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจริง
และ
(ข)
ผู้ประกอบการไม่สามารถขอใบแทนใบกำกับภาษีจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการได้ตามมาตรา
86/12 แห่งประมวลรัษฎากร
เนื่องจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการไม่สามารถออกใบแทนใบกำกับภาษีได้เพราะเหตุสุดวิสัย"
1.2.2 กรณีตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ กรณีใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องหรือ
ไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) ดังต่อไปนี้
"ข้อ 3 กรณีมีใบกำกับภาษี
และสามารถแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อไปจริงตามมาตรา 82/5(2) แห่งประมวลรัษฎากร ใบกำกับภาษีดังกล่าวต้องมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 86/4
แห่งประมวลรัษฎากร"
1.2.3 กรณีตามมาตรา 82/5 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่
กรณีภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
ของผู้ประกอบการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดตามข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) ดังต่อไปนี้
"ข้อ 4 ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของผู้ประกอบการตามมาตรา
82/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่
ภาษีซื้อที่ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ"
1.2.4 กรณีตามมาตรา 82/5 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่
กรณีภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยผู้ที่ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษีตามส่วน 10
ได้แก่ กรณีตามมาตรา 86/1 และมาตรา 86/13
แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
"มาตรา 86/1 ห้ามมิให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังต่อไปนี้ออกใบกำกับภาษี
(1)
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่อยู่นอกราชอาณาจักร และได้ให้ตัวแทนของตนออกใบกำกับภาษีแทนตนตามมาตรา
86/2
(2)
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ทรัพย์สินถูกนำออกขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นโดยบุคคลอื่นตามมาตรา
83/5
(3)
ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 83/6
(3)
มาตรา 86/13 ห้ามมิให้บุคคลซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือมิใช่ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้ตามหมวดนี้
ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้
บุคคลใดออกใบกำกับภาษี
ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้ โดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมาย
บุคคลนั้นต้องรับผิดในภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้
หรือใบลดหนี้นั้นเสมือนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน"
นอกจากนี้
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนดังต่อไปนี้ ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้
ถือเป็นกรณีที่ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิที่จะออกตามกฎหมายด้วยเช้นเดียวกัน
(1) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษี
ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้
โดยไม่มีกิจกรรมที่อยู่ในข่ายทีต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มรองรับ
หรือไม่มีการขายสินค้าหรือการให้บริการจริง
(2)
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้
หรือใบลดหนี้ โดยขายสินค้าหรือให้บริการแก่ผู่้ซื้อหรือผู้รับบริการรายหนึ่ง
แต่ได้ใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้
ให้แก่ผู้ซื้อหรือผู้รับบริการอีกรายหนึ่ง
(3)
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ออกใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้
หรือใบลดหนี้ โดยขายสินค้าหรือให้บริการชนิด
หรือประเภทหนึ่งให้แก่ผู่้ซื้อหรือผู้รับบริการรายหนึ่ง แต่ได้ใบกำกับภาษี
ใบเพิ่มหนี้ หรือใบลดหนี้โดยแสดงเป็นสินค้าหรือบริการอีกชนิดหรือประเภทหนึ่ง
2. ภาษีซื้อต้องห้ามที่ถือเป็นรายจ่ายได้
สำหรับภาษีซื้อต้องห้ามที่กำหนดยอมให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
ได้แก่
2.1 กรณีตามมาตรา 82/5 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรองหรือ
เพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามข้อ 5 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) ดังต่อไปนี้
"ข้อ 5 ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรอง
หรือเพื่อการอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันตามมาตรา 82/5(4) แห่งประมวลรัษฎากร
ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังนี้
(ก) ค่ารับรอง
หรือค่าบริการไม่ว่าจะจ่ายเพื่อการรับรองหรือให้บริการแก่บุคคลใด ๆ
และไม่ว่าจะอำนวยประโยชน์แก่กิจการหรือไม่ก็ตาม เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร
ค่าเครื่องดื่ม ค่ามหรสพ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกีฬา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน
(ข) ค่าสิ่งของ
หรือประโยชน์อื่นใดที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับการรับรองหรือรับบริการตาม (ก)
และบุคคลอื่น"
2.2 กรณีตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ ภาษีซื้ออื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2534 ซึ่งตามมาตรา 3
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 243) พ.ศ. 2524
ได้บัญญัติยอมให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำภาษีซื้อตามมาตรา
82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
ไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
สำหรับภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
ได้แก่ ภาษีซื้อตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)
ด้งต่อไปนี้
"ข้อ 2 ภาษีซื้อดังต่อไปนี้
ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร
(1) ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ
เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
และภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับสำหรับการขายรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
10 คน
ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
และการให้บริการเช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง
และการให้บริการรับประกันวินาศภัยสำหรับรถยนต์ดังกล่าว
(2)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีอย่างย่อตามมาตรา 86/6 และมาตรา
86/7 แห่งประมวลรัษฎากร
(3)
ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
(4)
ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และต่อมาได้ขาย
หรือให้เช่าหรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้
เฉพาะที่ได้กระทำภายในสามปีนับแต่เดือนภาษีที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์
(5)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งรายการตามมาตรา 86/4 (1) แห่งประมวลรัษฎากรมิได้ตีพิมพ์ขึ้น
หรือมิได้จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในกรณีจัดทำใบกำกับภาษีขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
(6)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งรายการตามมาตรา 86/4(8) แห่งประมวลรัษฎากรมิได้จัดทำขึ้นตามวิธีการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 86/4(8) แห่งประมวลรัษฎากร
(7)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งมีรายการในใบกำกับภาษีเป็นสำเนา (copy) แต่ไม่รวมถึงใบกำกับภาษีที่ได้จัดทำรวมกับเอกสารทางการค้าอื่น
ซึ่งมีจำนวนหลายฉบับ
และใบกำกับภาษีซึ่งมีรายการในใบกำกับภาษีเป็นสำเนามีข้อความว่า “เอกสารออกเป็นชุด” ปรากฏอยู่ด้วย
(8)
ภาษีซื้อส่วนที่เฉลี่ยเป็นของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา
82/6 แห่งประมวลรัษฎากร
(9)
ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการ
ซึ่งผู้ประกอบการจดทะเบียนนำไปใช้หรือจะใช้ในการประกอบกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวใช้สิทธิเลือกไม่นำภาษีซื้อทั้งหมดไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
เนื่องจากกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90
ของรายได้ของกิจการทั้งหมด ทั้งนี้ ตามข้อ 3 (2) แห่งประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 29) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฉลี่ยภาษีซื้อ ตามมาตรา 82/6
แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2535
(10)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งรายการตามมาตรา
86/4 ได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง เว้นแต่รายการซึ่งได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 46/2537 ดังนี้
(ก) การแก้ไขที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษี
พร้อมกับลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีกำกับการแก้ไข ทั้งนี้
เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงเลขที่บ้าน
ชื่อถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัด หรือได้ทำการแบ่งเขตถนน
หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัดใหม่
(ข)
การแก้ไขที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษีด้วยวิธีการประทับตรายางที่อยู่ที่ถูกต้องเพิ่มเติม
ทั้งนี้ เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปีนับแต่วันที่ทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงเลขที่บ้าน
ชื่อถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัด หรือได้ทำการแบ่งเขตถนน
หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัดใหม่
(ค)
การแก้ไขเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ออกใบกำกับภาษีพร้อมกับลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีกำกับการแก้ไข
หรือประทับตรายางเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งนี้ เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน
1 ปี
นับแต่วันที่กรมสรรพากรได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้ใหม่
(11) ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ
หรือรับโอนรถยนต์ที่มิใช่รถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
เพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และต่อมาได้มีการดัดแปลงรถยนต์ดังกล่าวเป็นรถยนต์นั่ง
หรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้กระทำภายในสามปีนับแต่เดือนภาษีที่ได้รถยนต์ไว้ในครอบครอง
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับสำหรับการขายรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน
10 คน
ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
และการให้บริการเช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง
(12)
ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งรายการตามมาตรา
86/4(2) แห่งประมวลรัษฎากร มิได้ตีพิมพ์ขึ้น
หรือมิได้จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในกรณีจัดทำใบกำกับภาษีขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับสำหรับใบกำกับภาษีที่ออกโดยผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจประเภทองค์การของรัฐตามที่มีกฎหมายจัดตั้ง
ทั้งนี้ เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
นับแต่วันที่จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด
ดังนั้น กรณีใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีซื้อชื่อบริษัทผิด
จึงไม่สามารถนำค่าภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
เนื่องจากเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65
ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งตามปกติภาษีซื้อรายการดังกล่าวได้ถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามที่บริษัทไม่มีสิทธินำไปถือเป็นเครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
เพราะต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (2) แห่งประมวลรัษฎากร อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯ ประสงค์ที่จะใช้ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีดังกล่าว บริษัทฯ มีสิทธิขอให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เป็นผู้ออกใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี ให้ใหม่โดยปฏิบัติเกี่ยวกับการยกเลิกและออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่แทนฉบับเดิม ตามข้อ 24 และข้อ 25 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 86/2545 ดังนี้
"ข้อ 24 กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับใบกำกับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 22 ไม่มีสิทธินำใบกำกับภาษีดังกล่าวไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องห้ามตามมาตรา 82/5(3) แห่งประมวลรัษฎากร จะต้องให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่จัดทำใบกำกับภาษีดำเนินการยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้อง จึงจะมีสิทธินำไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
กรณีเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนได้นำใบกำกับภาษีที่มีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามวรรคหนึ่งไปถือเป็นภาษีซื้อแล้ว ถ้าเจ้าพนักงานประเมินพิจารณาเห็นว่ามีเหตุอันสมควรให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิม และนำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องมาให้ตรวจสอบภายในระยะเวลาที่กำหนด และผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถนำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องมามอบให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนมีสิทธินำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนตามวรรคสอง ไม่สามารถนำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องมาให้เจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ประกอบการจดทะเบียนต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89(4) แห่งประมวลรัษฎากร ถ้าต่อมาผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้องก็ยังคงมีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มตามใบกำกับภาษีดังกล่าวไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพิ่มเติม ตามมาตรา 83/4 แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อขอคืนภาษีเป็นเงินสด แต่ต้องไม่เกินสามปีนับจากวันที่ได้มีการจัดทำใบกำกับภาษี
กำหนดระยะเวลาตามวรรคสองต้องไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบการกระทำความผิด
ข้อ 25 ผู้ประกอบการจดทะเบียนซึ่งจัดทำใบกำกับภาษีโดยมีรายการในส่วนที่เป็นสาระสำคัญไม่ถูกต้องครบถ้วนตามข้อ 4 ข้อ 5 ข้อ 6 และข้อ 22 เมื่อได้รับการร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ที่ถูกต้อง ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) เรียกคืนใบกำกับภาษีฉบับเดิมและนำมาประทับตราว่า“ยกเลิก” หรือขีดฆ่า แล้วเก็บรวมไว้กับสำเนาใบกำกับภาษีฉบับเดิม
(2) จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ซึ่งเป็นเลขที่ใหม่ แต่จะต้องลง วัน เดือน ปี ให้ตรงกับ วัน เดือน ปี ตามใบกำกับภาษีฉบับเดิม และ
(3) หมายเหตุไว้ในใบกำกับภาษีฉบับใหม่ว่า “เป็นการยกเลิกและออกใบกำกับภาษีฉบับใหม่แทนฉบับเดิมเลขที่ ... เล่มที่ ...” และหมายเหตุการยกเลิกใบกำกับภาษีไว้ในรายงานภาษีขายของเดือนภาษีที่จัดทำใบกำกับภาษีฉบับใหม่ด้วย
ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ร้องขอให้ยกเลิกใบกำกับภาษีฉบับเดิมและจัดทำฉบับใหม่ที่ถูกต้อง จะต้องถ่ายเอกสารใบกำกับภาษีฉบับเดิมที่ขอยกเลิกติดเรื่องไว้ด้วย"