การยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
บทความวันที่ 1 ต.ค. 2559 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 9036 ครั้ง
บทความวันที่ 1 ต.ค. 2559 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 9036 ครั้ง
การยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs)
นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2555 เป็นต้นมา สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ซึ่งได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ที่ไม่เคยมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่าห้าล้านบาท และ/หรือไม่เคยมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีเกินกว่า
30 ล้านบาท นั้น
ได้มีพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554 กำหนดหลักเกณฑ์การยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม (ก) ของ
(2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3
ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร นอกจากนี้ รัฐบาลได้มีนโยบายในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ดังกล่าว
ให้มีการจัดทำบัญชีและงบการเงินที่สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์และวางแผนการดำเนินธุรกิจและสร้างความน่าเชื่อถือในการประกอบกิจการหรือธุรกิจอันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ
อีกทั้งจะเป็นสิ่งสะท้อนสภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595)
พ.ศ. 2558 กำหนดให้มีการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปี 2559 และ 2560 เพื่อเป็นการจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการดังกล่าวในการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
ฉะนั้น
เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ดังกล่าว
จึงขอนำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
เกี่ยวกับกับการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามความในพระราชกฤษฎีกาฯ
ทั้งสองฉบับดังกล่าว มากล่าวตามประเด็นดังต่อไปนี้
1. ผู้ประกอบการซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs)
2. การยกเว้นและการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
3.
1. ผู้ประกอบการซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
1.1 คุณสมบัติวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ตามพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554
ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบการซึ่งเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs)
ดังนี้
1.1.1 ต้องบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
เนื่องจากคำว่า “มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท”
นั้น
จะมีได้ก็แต่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของไทยเท่านั้น
เพราะได้มีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลและจำนวนเงินทุน
รวมทั้งมีการระบุทุนที่เรียกชำระแล้วต่อทางราชการกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
กระทรวงพาณิชย์
กรณีจึงไม่รวมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
รวมทั้งกิจการร่วมค้าตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
(2)
การที่จะได้รับสิทธิในการยกเว้น และลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล นั้น
ต้องไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 5 ล้านบาทและต้องไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน
30 ล้านบาท ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป
1.2 คุณสมบัติวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ตามมาตรา
6 แห่งพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595)
พ.ศ. 2558 ดังต่อไปนี้
1.2.1 ไม่มีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินห้าล้านบาทและไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกินสามสิบล้านบาท
1.2.2
ได้จดแจ้งเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
1.2.3
ไม่ถูกเพิกถอนการได้รับยกเว้นตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
1.3 จากนิยามศัพท์ของคำว่า
“วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” ซึ่งหมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน
5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 30
ล้านบาท นั้น
1.3.1 คำว่า “ขาย” หมายความว่า จำหน่าย จ่าย หรือโอนสินค้า โดยมีหรือไม่มีประโยชน์หรือค่าตอบแทน
และให้หมายความรวมถึงสัญญาให้เช่าซื้อสินค้า
สัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อแล้ว
และการส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร
คำว่า
“สินค้า” หมายความว่า
ทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้
ที่มีไว้เพื่อขายเท่านั้น
คำว่า
“บริการ” หมายความว่า การกระทำใดๆ
อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า
1.3.2
คำว่า “รายได้จากการขายสินค้า” หมายถึง รายได้จากการขายสินค้า ที่เป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างที่อาจมีราคาและถือเอาได้
ที่มีไว้เพื่อขายเท่านั้น ไม่รวมถึงการขายทรัพย์สินที่มีไว้ในการประกอบกิจการ
หรือเพื่อการอื่นในที่มิใช่เพื่อการขาย ทั้งนี้ ไม่ว่าจะกระทำการใดๆ ดังต่อไปนี้
(1)
การจำหน่าย จ่าย หรือโอนสินค้า โดยมีหรือไม่มีประโยชน์หรือค่าตอบแทน
และให้หมายความรวมถึงสัญญาให้เช่าซื้อสินค้า
(2)
การสัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อมีการส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อแล้ว
หรือ
(3) การส่งสินค้าออกนอกราชอาณาจักร
คำว่า
“รายได้จากการให้บริการ” หมายถึง รายได้จากการกระทำใดๆ
อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้าของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
นั้น กฎหมายมุ่งที่จะให้พิจารณาเฉพาะประเด็นการให้บริการเท่านั้น
ไม่ใช่การตีความอย่างแคบว่า หากไม่ใช่การขายสินค้า
ก็ให้ถือเป็นการให้บริการทั้งสิ้น แม้ธรรมชาติการกระทำนั้น
จะไม่ใช่การให้บริการก็ตาม
หากแต่เป็นกฎหมายพิเศษที่มุ่งเน้นการให้บริการอย่างแท้จริง
1.3.3
ดังนั้น รายได้เนื่องจากกิจการดังต่อไปนี้
ย่อมไม่อยู่ในส่วนของรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการจำนวน 30
ล้านบาทต่อรอบระยะเวลาบัญชี
- รายได้จากการขายทรัพย์สินที่มิใช่การขายสินค้า ไม่ว่าจะมีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่าง ได้แก่ กำไรจากการขายทรัพย์สินที่มีไว้ใช้ในการดำเนินกิจการ เช่น กำไรจากการขายเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องใช้เครื่องตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ คอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ อาคารถาวร ที่ดินและอาคารถาวร หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น สิทธิการเช่า สิทธิในกรรมวิธีสูตร กู๊ดวิล เครื่องหมายการค้า สิทธิประกองกิจการตามใบอนุญาต สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น หรือทรัพย์สินอย่างอื่น
- รายได้จากการขายสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ สินค้าที่มีตำหนิ สินค้าที่หมดสมัยนิยม สินค้าที่หมดอายุ และของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต เศษซากวัสดุ อุปกรณ์ ที่รอการทำลายตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 79/2541
- รายได้ในส่วนที่เป็นกำไรจากการขายหลักทรัพย์เผื่อค้าหรือหลักทรัพย์ที่กิจการซื้อมาเพื่อการลงทุนหาผลประโยชน์ในรูปของเงินปันผล
เนื่องจาก หลักทรัพย์ที่มีไว้เพื่อการลงทุน เข้าลักษณะเป็นทรัพย์สิน
(หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/02504 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2542)
และหุ้นเข้าลักษณะเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ (หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/7653 ลงวันที่
2 สิงหาคม 2544)
-
รายได้จากเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
-
รายได้ดอกเบี้ยที่ได้จากการนำเงินทุน เงินกู้ยืม เงินเพิ่มทุน หรือเงินอื่นที่เหลืออยู่ไปฝากธนาคารหรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น
โดยได้รับดอกเบี้ยตามอัตราปกติ
-
กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นรายได้เนื่องจากกิจการปกติทั่วไป
ซึ่งมิได้มีการประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน หลักทรัพย์
หรือเครดิตฟองซิเอร์ หรือการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
-
ค่าปรับเนื่องจากการผิดสัญญา
-
เงินอุดหนุนหรือเงินช่วยเหลือให้เปล่า รางวัล ส่วนลด หรือประโยชน์ใดๆ
ที่ได้จากการส่งเสริมการขาย
-
รางวัลจากการประกวดแข่งขันหรือชิงโชค เป็นต้น
2. การยกเว้นและการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
2.1 การยกเว้นและการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่ “วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” ตามพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554
2.1.1 ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554 กำหนดให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ที่กำหนดยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่ไม่เกิน
150,000 บาทแรก และให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม (ก) ของ (2)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของไทยที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน
5 ล้านบาท เท่านั้น ทั้งนี้ ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1
มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ
ตามมาตรา
10 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554
กำหนดให้บทบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะแก่การลดอัตราภาษีเงินได้และการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2555 นั้น
ย่อมหมายความว่า
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 โดยเฉพาะรอบระยะเวลาบัญชีปี
2554 ที่จะยื่นแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50 เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตั้งแต่วันที่
1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ยังคงต้องใช้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมายเดิมคือ พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551 นั่นเอง
2.1.2 ตามมาตรา 6 และมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกา
ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554 ได้กำหนดให้ลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
ดังต่อไปนี้
(1) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2555 แต่ไม่เกินวันที่
31 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม (ก) ของ (2)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3
ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
(ก) กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน
150,000 บาท ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลดังเช่นที่เคยได้รับยกเว้นตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 471) พ.ศ. 2551
(ข)
กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 150,000 บาท แต่ไม่เกินหนึ่งล้านบาท
ให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิ
(ค)
กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกินหนึ่งล้านบาท ให้คงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
1) ร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิ
สำหรับหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2555
2)
ร้อยละ
20 ของกำไรสุทธิ
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีถัดมาที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป
(2) สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม (ก) ของ (2)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3
ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
(ก) กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000
บาท ให้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2551
(ข)
กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท ให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 แต่ไม่เกินวันที่
31 ธันวาคม พ.ศ. 2559
(ค)
ร้อยละ 15 ของกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกินสามล้านบาท และร้อยละ
20 ของกำไรสุทธิ สำหรับกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตามตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2551 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 30 ล้านบาท ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิ เฉพาะส่วนที่เกิน 300,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560
2.2 ตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2551 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน
3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งจัดตั้งขึ้นก่อนวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2559
และมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาท
และมีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินสามสิบล้านบาท
สำหรับกำไรสุทธิดังต่อไปนี้
2.2.1
กำไรสุทธิสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2559
2.2.2
กำไรสุทธิเฉพาะส่วนที่ไม่เกินสามแสนบาทแรก
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม
พ.ศ. 2560 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม
พ.ศ. 2560
3. การปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาสิทธิยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน
ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร
ตามที่มีพระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2558 โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร นั้น
เนื่องจากพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว
ได้กำหนดให้ยกเว้นการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรในบางกรณี
และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป ซึ่งมีข้อปฏิบัติตามพระราชกำหนดฉบับดังกล่าว ตามคำชี้แจงกรมสรรพากร
เรื่อง การยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่
4 มกราคม พ.ศ. 2559 ดังต่อไปนี้
3.1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เฉพาะเป็น
“วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” จะได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร
สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 หรือมูลค่าของฐานภาษี รายรับ
หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เข้าลักษณะและปฏิบัติตามเงื่อนไข
ดังนี้
3.1.1
เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จากกำไรสุทธิ
ซึ่งมีคุณสมบัติตามข้อ 1.2 ข้างต้นหรือตามมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 595) พ.ศ. 2558
3.1.2
มีรายได้จากการขายสินค้าหรือการให้บริการ
ซึ่งคำนวณตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร ไม่เกิน 30 ล้านบาท
ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาและมีกำหนดครบสิบสองเดือน
โดยวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 31
ธันวาคม พ.ศ. 2558
รายได้จากการประกอบกิจการหรือเนื่องจากการประกอบกิจการ
ซึ่งคำนวณตามหลักเกณฑ์ ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่ การคำนวณรายได้นั้น
ตามเกณฑ์สิทธิที่แสดงไว้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
(ภ.ง.ด.50)
3.1.3
ได้มีการจดแจ้งต่อกรมสรรพากรตามแบบแจ้งขอเป็นผู้ประกอบการตามกฎหมาย
ว่าด้วยการยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th
ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559
3.2 ประเภทภาษีอากรและช่วงระยะเวลาที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นตาม
3.1 ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน
ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากร มีดังนี้
3.2.1
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว
3.2.2
ภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับมูลค่าของฐานภาษีที่เกิดขึ้นของเดือนธันวาคม
พ.ศ. 2558 และเดือนก่อนเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 ทุกเดือน และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับ
ภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว
3.2.3
ภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับรายรับที่เกิดขึ้นของเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 และเดือนก่อนเดือนธันวาคม พ.ศ. 2558 ทุกเดือน
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับภาษีธุรกิจเฉพาะดังกล่าว
3.2.4
อากรแสตมป์ สำหรับการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559
และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับอากรแสตมป์ดังกล่าว
ทั้งนี้ สำหรับภาษีอากรที่เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรไปแล้ว
หรือได้ดำเนินคดีในความผิดเกี่ยวกับภาษีอากรนั้น ๆ ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 แล้ว คงมีผลตามกฎหมาย เช่นเดิม
การได้รับยกเว้นตาม 3.2.1 ถึง 3.2.4 ไม่มีผลสำหรับกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด
3.3 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นและมีการจดแจ้งตาม
3.1 จะไม่ได้รับยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้
3.3.1
กรณีอยู่ระหว่างการตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร โดยมีหมายเรียก
ที่ออกก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 โดยเจ้าพนักงานประเมินสามารถดำเนินการตรวจสอบ
ไต่สวน
ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีหรือเดือนภาษีที่ออกหมายเรียกเท่านั้น
รวมทั้งการดำเนินคดีอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับความผิดสำหรับภาษีอากรที่ตรวจสอบดังกล่าว
3.3.2
กรณีอยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าพนักงานประเมินตามมาตรา 88/3 แห่งประมวลรัษฎากร
ที่ดำเนินการก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 โดยเจ้าพนักงานประเมินสามารถดำเนินการตรวจสอบ
ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรสำหรับเดือนภาษีที่ดำเนินการตรวจสอบเท่านั้น
รวมทั้งการดำเนินคดีอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับความผิดสำหรับภาษีอากรที่ตรวจสอบดังกล่าว
3.3.3
กรณีเป็นผู้ออกใบกากับภาษีปลอมหรือเป็นผู้ใช้ใบกากับภาษีปลอม หรือกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร
โดยแสดงรายจ่ายอันเป็นเท็จต่อกรมสรรพากร เจ้าพนักงานประเมินสามารถดำเนินการตรวจสอบ
ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากรที่เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวได้ รวมทั้งการดำเนินคดีอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับความผิดสำหรับกรณีนั้น
ๆ
3.3.4
กรณีอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นพนักงานอัยการ หรือชั้นศาล
ยังคงดำเนินการต่อไปได้
3.4 ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นตาม
3.1 ยื่นคาร้องขอคืนภาษี เงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ
หรืออากรแสตมป์ ที่เกี่ยวกับรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบ
ระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 หรือมูลค่าของฐานภาษี
รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 ให้พิจารณา
ดังนี้
3.4.1
กรณีได้ยื่นคาร้องขอคืนภาษีอากรดังกล่าวก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559
และเจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกตรวจสอบภาษีหรือดำเนินการตรวจสอบตามมาตรา
88/3 แห่งประมวลรัษฎากร ก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559
เจ้าพนักงานประเมินสามารถตรวจสอบ ไต่สวน รวมทั้งการประเมินภาษีอากรดังกล่าวได้
และคืนภาษีอากรดังกล่าวตามผลการตรวจตามที่ถูกต้องแท้จริงได้
โดยหากการตรวจสอบภาษีอากรที่ขอคืนแล้วปรากฏว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีภาษีอากรที่จะต้องชำระเพิ่มเติม
(พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย)
เนื่องจากเสียภาษีไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินออกใบแจ้งการประเมินภาษีให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
ชำระภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มเติม (พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย) ได้
3.4.2
กรณีได้ยื่นคาร้องขอคืนภาษีอากรดังกล่าวก่อนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 แต่
เจ้าพนักงานประเมิน ยังไม่ได้ออกหมายเรียกหรือดำเนินการตรวจสอบตามมาตรา 88/3
แห่งประมวลรัษฎากร หรือกรณีได้ยื่นคาร้องขอคืนภาษีอากรดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1
มกราคม พ.ศ. 2559 กรณีดังกล่าว
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจทาการตรวจสอบภาษีอากรที่ขอคืนหรือออกหมายเรียกเพื่อตรวจสอบ
ภาษีอากรที่ขอคืน ไต่สวน และประเมินภาษีอากรได้ ตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้
และคืนภาษีอากรดังกล่าวตามผลการตรวจตามที่ถูกต้องแท้จริงได้ โดยหากการตรวจสอบภาษีอากรที่ขอคืนแล้วปรากฏว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีภาษีอากรที่จะต้องชำระเพิ่มเติม
(พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย)
เนื่องจากเสียภาษีไม่ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมาย
เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจประเมินออกใบแจ้งการประเมินภาษีให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ขอคืนชำระภาษีอากรที่ต้องชำระเพิ่มเติม
(พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามกฎหมาย) ได้
3.5
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ที่ได้รับยกเว้นตาม 3.1
ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
3.5.1
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล พร้อมชำระภาษี สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลาในการยื่นรายการ
ในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป โดยมีหน้าที่ต้องยื่นรายการภาษีเงินได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
และต้องยื่นรายการภาษีเงินได้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีถัดไปทุกรอบระยะเวลาบัญชี
และถ้ามีภาษีที่ต้องชำระ ต้องชำระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าว
แต่ถ้ามีผลการคำนวณกำไรหรือขาดทุนสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้วปรากฏว่ามีผลขาดทุน
ก็ไม่ต้องชำระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าวแต่อย่างใด
3.5.2
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะ แล้วแต่กรณี
ในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้
พร้อมชำระภาษี ถ้ามี ทั้งนี้ สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการที่ต้องกระทำในเดือนมกราคม
พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
3.5.3
ยื่นแบบขอเสียอากรเป็นตัวเงิน สำหรับตราสารที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้ ชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากร
และต้องชำระเงินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อากรแสตมป์ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
3.5.4
มีการจัดทาบัญชีและงบการเงินให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ
(บัญชีเล่มเดียว) ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2559 เป็นต้นไป
3.5.5
ไม่กระทำการใด ๆ ที่เป็นการเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2559 เป็นต้นไป
3.6
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตาม 3.5
อธิบดีกรมสรรพากรจะมีคำสั่งเพิกถอนการได้รับยกเว้นตาม 1.
ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น เมื่ออธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งเพิกถอนการได้รับยกเว้นแล้ว
ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่เคยได้รับยกเว้นการใด ๆ ตาม 3.1
โดยเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และดำเนินคดีในความผิดอาญาเกี่ยวกับรายได้
มูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารตามที่ได้รับยกเว้นตาม 3.1 ได้ ทั้งนี้
ตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร