รายจ่ายในการดำเนินงานที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรได้
บทความวันที่ 2 เม.ย. 2565 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2987 ครั้ง
บทความวันที่ 2 เม.ย. 2565 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2987 ครั้ง
รายจ่ายในการดำเนินงานที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีอากรได้
ในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากรตามมาตรา
65 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งกำหนดให้คำนวณจากรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเราท่านที่เป็นนักบัญชีภาษีอากรก็จะคุ้นชินกันเป็นอย่างดีว่า
1. กำไรสุทธิทางภาษีอากร นั้น
เป็นการนำกำไรสุทธิทางบัญชีมาปรับปรุงด้วยเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับรายได้และรายจ่ายทางภาษีอากร
อันเป็นที่มาของคำว่า "การบัญชีภาษีอากร" (Tax Accounting)
2. เงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิที่สำคัญๆ ประกอบด้วย
2.1 เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้
แบ่งเป็น
(1) ประเภทรายได้ตามมาตรา
65 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบด้วยรายได้จากกิจการ
และรายได้เนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
(2) เกณฑ์การรับรู้รายได้
ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528
(3) เงื่อนไขเกี่ยวกับผลตอบแทนจากการประกอบกิจการขายสินค้า
ให้บริการ หรือให้กู้ยืมเงิน ต้องเป็นไปตาม "ราคาตลาด" ตามมาตรา
65 ทวิ (4) และมาตรา 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
(4) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้ที่เป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไร
ตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
(5) เงื่อนไขเกี่ยวกับภาษีขายที่กำหนดไม่ให้ถือเป็นรายได้
เพื่อให้สอดรับกับระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 65 ทวิ (14)
แห่งประมวลรัษฎากร
(6) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้ของมูลนิธิหรือสมาคม
และกองทุนรวม ตามมาตรา 65 ทวิ (13) และ (15) แห่งประมวลรัษฎากร
(7) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้
กรณีเลิก หรือควบโอนกิจการ ตามมาตรา 74 แห่งประมวลรัษฎากร
(8) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้ที่ได้รับยกเว้นภาษีกรณีต่างๆ
ตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร อนุสัญญาภาษีซ้อน กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.2 เงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่าย
แบ่งเป็น
(1) ประเภทของรายจ่ายทางภาษีอากร
ประกอบด้วย รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน และรายจ่ายในการดำเนินงาน
(2) เงื่อนไขเกี่ยวกับค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวร
ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145)
พ.ศ. 2527
(3) เงื่อนไขเกี่ยวกับการจำหน่ายหนี้สูญออกจากบัญชีลูกหนี้
ตามมาตรา 65 ทวิ (9) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่ายต้องห้าม
ตามมาตรา 65 ทวิ (1) และมาตรา 65 ตรี (1) - (20) แห่งประมวลรัษฎากร
(5) เงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่าย
กรณีเลิก หรือควบโอนกิจการ ตามมาตรา 74 แห่งประมวลรัษฎากร
(6) รายจ่ายที่หักได้เพิ่มขึ้น
ตามที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากร กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2.3 รายได้และรายจ่ายอันเป็นผลจากการตีราคาทรัพย์สินและหนี้สิน
แบ่งเป็น
(1) หลักเกณฑ์ในการตีราคาทรัพย์สิน
ตามมาตรา 65 ทวิ (3) แห่งประมวลรัษฎากร
(2) หลักเกณฑ์ในการตีราคาเงินตรา
ทรัพย์สิน และหนี้สินที่มีค่าหรือราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ ตามมาตรา 65 ทวิ
(5) ประกอบมาตรา 9 แห่งประมวลรัษฎากร
(3) หลักเกณฑ์ในการตีราคาสินค้าคงเหลือ
ตามมาตรา 65 ทวิ (6) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) หลักเกณฑ์ในการตีราคาทรัพย์สิน
ณ วันเลิก หรือควบโอนกิจการ ตามมาตรา 74 (1) แห่งประมวลรัษฎากร
3. ในที่นี้
จะขอนำหลักเกณฑ์ในการพิจารณาองค์ประกอบรายจ่ายในการดำเนินกิจการที่จะนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิ
ที่ตามประมวลรัษฎากร มิได้บัญญัติไว้ โดยการนำหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขเกี่ยวกับรายจ่ายมาประมวลรวมกัน จนได้ความว่า
รายจ่ายที่กิจการจะนำไปถือเป็นรายจ่าในการคำนวณกำไรสุทธิทางภาษีอากรได้นั้นต้องครบองค์ประกอบทุกข้อดังต่อไปนี้
3.1 ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
ซึ่งได้แก่ รายจ่ายที่เกิดขึ้นเป็นปกติธุระในการดำเนินกิจการทั่วไป อาทิ
ต้นทุนสินค้าที่ขายหรือต้นทุนบริการที่ให้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
อันเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นตามประเพณีทางการค้า ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา
65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร และ
3.2 ต้องเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ
และพิสูจน์ได้ว่า มีเหตุผลอันสมควรที่จะจ่ายรายการรายจ่ายนั้น
โดยไม่ใช่รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา
65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร และ
3.3
ต้องเป็นรายจ่ายที่มีหลักฐานการจ่ายที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้ เช่น ใบเสร็จรับเงิน
ใบกำกับภาษี ใบสั่งของ ใบแจ้งหนี้ เป็นต้น สำหรับในบางกรณีที่ไม่มีการจ่ายเงิน
หรือค่าตอบแทนอย่างอื่น แต่เกิดค่าใช้จ่ายขึ้น เช่น กรณีภัยพิบัติต่างๆ อุบัติเหตุ
การฉ้อโกง การลักขโมย ฯลฯ
กิจการต้องแสวงหาหลักฐานที่จะสนับสนุนรายการรายจ่ายดังกล่าว เช่น
หลักฐานการแจ้งความลงบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภาพถ่าย
ข่าวสารหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9)
หรือ (18) แห่งประมวลรัษฎากร – รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง
หรือรายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ ทั้งนี้
เป็นไปตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ที่กำหนดว่า ทุกเดบิต
ต้องมีเครดิตด้วยจำนวนที่เท่ากัน เมื่อเป็นรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหนึ่ง
ย่อมถือเป็นรายได้ของบุคคลหนึ่ง ที่ต้องมีหลักฐานการจ่ายที่พิสูจน์ได้
และผู้มีเงินได้พึงต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามที่กฎหมายกำหนด และ
3.4 ต้องเป็นรายจ่ายสิ้นเปลืองหมดไป
(Supplies)
ที่ไม่ก่อให้เกิดเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิที่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
มิฉะนั้น อาจถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน อาทิ
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานทั่วไป เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า
ค่ารับรอง ค่าธรรมเนียม ค่าบริการในการประกอบกิจการตามปกติ
ค่าซ่อมแซมให้ทรัพย์สินถาวรคงสภาพเดิม ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินถาวร
เป็นต้น ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร –
รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน หรือรายจ่ายในการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก
หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สิน และ
3.5 ต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
และกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้ ไม่ใช่รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9)
แห่งประมวลรัษฎากร – รายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง และสามารถกำหนดจำนวนที่แน่นอนโดยมิใช่การประมาณการขึ้นมา
3.6 ต้องเป็นรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้
หรือการประกอบกิจการ ในส่วนของต้นทุน
และผลเสียหายอันอาจได้กลับคืนเนื่องจากการประกันหรือสัญญาคุ้มกันใดๆ ต้องเป็นไปตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้
(Matching
Principle) และ
3.7 ต้องเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีปีใด
ก็ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ตามความหมายของคำว่า “เกณฑ์สิทธิ”
ตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
เว้นแต่ในกรณีที่ไม่สามารถกำหนดจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีใด
ก็ให้ถือเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่รายจ่ายนั้นกำหนดจำนวนที่แน่นอนได้
ตามมาตรา 65 ตรี (9) แห่งประมวลรัษฎากร และ
3.8
ต้องไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายที่ต้องห้ามตามเงื่อนไขแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 65
ทวิ และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร เช่น ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
หรือค่าของสินค้าคงเหลือที่ด้อยค่าโดยไม่เป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ (6)
แห่งประมวลรัษฎากร ทรัพย์สินที่ตีราคาต่ำลง ตามมาตรา 65 ตรี (17)
แห่งประมวลรัษฎากร หรือรายจ่ายที่ไม่ใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรในประเทศไทย ตามมาตรา
65 ตรี (14) แห่งประมวลรัษฎากร
หรือรายจ่ายที่กำหนดจ่ายจากผลกำไรที่ได้เมื่อสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี ตามมาตรา 65
ตรี (19) แห่งประมวลรัษฎากร
หรือรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามมาตรา
65 ตรี (20) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นต้น
4. การจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้
ด้วยประกาศกรมทะเบียนการค้าเรื่อง
กำหนดชนิดของบัญชีที่ต้องจัดทำ ข้อความ และรายการที่ต้องมีในบัญชี
ระยะเวลาที่ต้องลงรายการในบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี พ.ศ. 2544
หมวด 4 ข้อ 8 ได้กำหนดประเภทของเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ 3 ประเภท คือ
(1)
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำขึ้นโดยบุคคลภายนอก
(2)
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำขึ้นโดยผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเพื่อออกให้แก่บุคคลภายนอก
(3)
เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีที่จัดทำขึ้นโดยผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง
ซึ่งโดยทั่วไปเอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีทั้งสามประเภทดังกล่าว
สอดคล้องกับเอกสารที่ต้องจัดทำตามประมวลรัษฎากร ที่กิจการสามารถนำไปใช้ประกอบเป็นหลักฐานการบันทึกรายการบัญชีเป็นรายจ่ายในทางภาษีอากรได้อยู่แล้ว
อันได้แก่ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือใบเสร็จรับเงินที่มีรายการครบถ้วนสมบูรณ์ ตามมาตรา 105 และมาตรา 105 ทวิ
แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งผู้รับเงินค่าสินค้าหรือบริการมีหน้าที่ต้องออกหลักฐานการรับเงินให้แก่ผู้จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการในแต่ละคราว
และผู้จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการสามารถร้องขอให้ผู้รับเงินค่าสินค้าหรือบริการออกหลักฐานการรับเงินได้ด้วยเช่นกัน
แต่ในทางปฏิบัติ กรมสรรพากรมักพบปัญหาว่า
เอกสารที่ใช้ประกอบการลงบัญชีในบางกรณีไม่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ทั้งที่กิจการได้มีรายจ่ายจริง
เนื่องจาก
ประการที่หนึ่ง
ผู้รับเงินไม่ออกหลักฐานการรับเงิน
ประการที่สอง ผู้รับเงินให้หลักฐานการรับเงินที่ไม่สมบูรณ์
ประการที่สาม
ผู้รับเงินไม่ออกหลักฐานการรับเงิน และไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย
กรมสรรพากร
โดยสำนักมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร จึงได้จัดทำ “คู่มือการจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีที่สามารถเป็นรายจ่ายทางภาษีได้”
จึงขอนำมาเป็นแนวทางในการจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังนี้
เอกสารหลักฐานที่ควรมี (ทุกกรณี)
กรณีรายจ่ายของกิจการที่จ่ายจริงแต่ผู้รับเงินไม่มีหลักฐานการรับเงินที่เพียงพอต่อการบันทึกบัญชี
กิจการสามารถจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) เอกสารแสดงการรับเงินของผู้รับเงิน อาทิ
•
ใบรับ ตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร หรือ
• ใบสำคัญรับเงิน หรือ
• ใบรับรองแทนใบสำคัญรับเงิน
(2) ใบกำกับภาษี
หรือใบเสร็จรับเงินปรากฏเป็นชื่อผู้อื่น เช่น ค่าไฟฟ้าหรือค่าน้ำประปา เป็นต้น
แต่กิจการมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่า กิจการเป็นผู้จ่ายเงินตาม (1) และหลักฐานอื่นๆ
ประกอบ เช่น สัญญาเช่า เป็นต้น
(3) จัดทำใบสำคัญจ่าย
(Payment
Voucher) ใช้สำหรับกรณีไม่มีหลักฐานตาม (1)
(ก) ใบสำคัญจ่าย ต้องระบุ
• ชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประจ
าตัวผู้เสียภาษีอากร ของผู้รับเงิน
• วันที่จ่ายเงิน
• ระบุประเภทรายการที่จ่ายและจ
านวนเงินที่จ่าย
•
ลงลายมือชื่อผู้รับเงินไว้เป็นหลักฐาน
• มีการลงนามอนุมัติจ่ายโดยผู้มีอ านาจเท่านั้น
(ข) พร้อมแนบหลักฐานการจ่ายเงิน อาทิ
•
สำเนาเช็คระบุชื่อผู้รับเงิน ซึ่งขีดฆ่าผู้ถือและขีดคร่อม A/C Payee only ที่มีหลักฐานว่าได้ตัดบัญชี Bank statement ของผู้จ่ายเงินแล้ว
หรือ
•
สำเนาใบโอนเงินผ่านธนาคารหรือช่องทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น
(ค) แนบบัตรประจำตัวประชาชนผู้รับเงิน
(เฉพาะกรณีชำระเป็นเงินสด)
(4) เอกสารการพิจารณาอื่นที่เกี่ยวข้อง
(แล้วแต่กรณี)
(ก)
รายงานการประชุมที่มีมติอนุมัติให้ถือเป็นรายจ่ายได้
(ข) จดหมายผู้บริหาร
(ค) คำรับรองอนุมัติรายจ่าย
(ง) รายการเบิกจ่ายที่ผ่านการอนุมัติและมีลายมือชื่อผู้อนุมัติจ่าย
(จ) สัญญาที่เกี่ยวข้อง
(5) หลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย
ทั้งนี้
ผู้รับเงินจากกิจการตามเอกสารหลักฐานที่ปรากฏต้องมีพฤติกรรมประกอบอาชีพนั้นอย่างแท้จริง
กรณีผู้รับเงินไม่ออกหลักฐานการรับเงิน
อาทิ
• กิจการภัตตาคารร้านอาหาร เช่น
การซื้อวัตถุดิบปรุงอาหารเอกสาร
• กิจการผู้ค้าสินค้าเกษตร เช่น
การซื้อสินค้าจากเกษตรกร
หลักฐานที่ควรมี ได้แก่
(1) จัดทำรายการซื้อในแต่ละคราว
โดยมีข้อความระบุดังนี้
(ก) รายละเอียดชื่อสินค้าแต่ละรายการ
(ข) มูลค่าและปริมาณสินค้าแต่ละรายการ
(ค) ราคารวมสุทธิ
(2) สัญญาซื้อขาย (ถ้ามี)
• การกู้เงินจากธนาคารในนามกรรมการ
เนื่องจากติดเงื่อนไขที่ธนาคารไม่สามารถให้สินเชื่อต่อกิจการได้โดยตรง
และกรรมการมีภาระดอกเบี้ยจ่าย เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
(1)
มติที่ประชุมแจ้งความจำเป็นให้กรรมการไปกู้ธนาคารแทนกิจการ
(2) สัญญากู้เงิน
(ก) คู่สัญญาระหว่างธนาคารกับกรรมการ
(ข) คู่สัญญาระหว่างกรรมการกับกิจการ
(3)
หลักฐานการรับเงินกู้ยืมและการบันทึกบัญชีเจ้าหนี้
(4) หลักฐานที่กิจการจ่ายดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร
•
ค่าใช้จ่ายที่ผู้รับเงินไม่สามารถออกหลักฐานการรับเงินได้ เช่น
ค่าใช้จ่ายเดินทาง ค่า Taxi
ค่าจ้างคนส่งเอกสาร เป็นต้น เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
(1) มติที่ประชุม
หรือเอกสารหลักฐานการอนุมัติจากผู้มีอำนาจ ให้ถือเป็นรายจ่าย
(2) จัดทำใบรับรองแทนใบสำคัญรับเงิน
กรณีผู้รับเงินให้หลักฐานการรับเงินที่ไม่สมบูรณ์
•
การจ่ายค่าซื้อสินค้าหรือบริการเบ็ดเตล็ดที่ผู้รับเงินให้หลักฐานเพียงใบส่งของหรือใบเสร็จรับเงินที่มีรายการไม่สมบูรณ์
(อาทิ ไม่ระบุชื่อกิจการที่รับเงิน) เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
- จัดทำใบรับรองแทนใบสำคัญรับเงิน
กรณีผู้รับเงินไม่ออกหลักฐานการรับเงิน
และไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย
• ค่าเช่าอาคาร/เงินกินเปล่า
เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
- จัดทำใบรับรองแทนใบสำคัญรับเงิน
• ค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำประปาที่ไม่ใช่ชื่อกิจการ
เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
(ก) สัญญาเช่าอาคาร ซึ่งระบุให้ผู้เช่าเป็นผู้ชำระค่าไฟฟ้า
ค่าน้ำประปา
(ข) ควรติดต่อกับการไฟฟ้าฯ หรือการประปาฯ
เพื่อขอเพิ่มชื่อของบริษัทฯ ลงในใบกำกับภาษี โดยเพิ่มเติมข้อความว่า
"จ่ายชำระค่าบริการโดย บริษัท...“ ลงไปด้วย บริษัทฯ
มีสิทธินำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษี ดังกล่าว ไปถือเป็นภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่า
เพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ (หนังสือที่ กค 0702/พ./1319 ลงวันที่
19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552)
•
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่มิได้กู้จากสถาบันการเงิน เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
(ก) สัญญากู้ยืมเงิน
(ข) หลักฐานการหักภาษี ณ ที่จ่าย
• เงินเดือนของเจ้าของกิจการ (รวมถึง
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเจ้าของกิจการที่เบิกจ่ายจากกิจการ เช่น ค่าการศึกษาบุตร
เป็นต้น ซึ่งกำหนดรวมอยู่ในเงินเดือนของเจ้าของกิจการ) เอกสารหลักฐานที่ควรมี
ได้แก่
(ก)
สัญญาจ้างแรงงาน
(ข) หลักฐานการหักภาษี
ณ ที่จ่าย
•
เจ้าของกิจการให้ใช้สถานที่ที่อยู่อาศัยเป็นสถานประกอบการของกิจการหรือให้ใช้ทรัพย์สินโดยไม่คิดค่าตอบแทน
เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
-
หนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ/ทรัพย์สิน (ทั้งนี้
ผู้ยินยอมให้ใช้สถานที่/ทรัพย์สิน
มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการให้ใช้สถานที่/ทรัพย์สินโดยไม่คิดค่าตอบแทน)
•
กรณีเช่าสถานประกอบการโดยผู้รับเงินไม่ยอมให้หักภาษี ณ ที่จ่าย
เอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
- สัญญาเช่าอาคาร (หากสัญญาเกิน 3 ปี
ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของกรมที่ดิน)
•
รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกรณีเช่าสถานประกอบการซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกรรมการด้วย
หรือกรณีใช้ทรัพย์สินร่วมกันกับกิจการหรือบุคคลอื่นเอกสารหลักฐานที่ควรมี ได้แก่
- สัญญาเช่า
หมายเหตุ
- ให้เฉลี่ยเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้ตามเกณฑ์ที่เหมาะสม
-
ถ้าใบกำกับภาษีซื้อไม่ได้เป็นชื่อของผู้เช่า ภาษีซื้อขอคืนไม่ได้