ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจประมวลรัษฎากร และนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ว่าด้วยการงดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี เกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร

บทความวันที่ 18 มี.ค. 2564  .  เขียนโดย อจ.สุเทพ  .  เข้าชม 9500 ครั้ง

ว่าด้วยการงดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร

กรณีจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี

เกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม

ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร

 

ตามมาตรา 85/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กำหนดให้ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการสินค้าหรือการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 (1) ประกอบกับมาตรา 77/1 (8) และ 10) แห่งประมวลรัษฎากร โดยมีรายได้ดังกล่าวเกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่  432) พ.ศ. 2548 ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มูลค่าของฐานภาษีในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม กล่าวคือ สำหรับกรณีผู้ประกอบการมีมูลค่าของฐานภาษีในการประกอบกิจการเกิน 1,800,000 บาทต่อปี ตามที่พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ. 2548 ซึ่งเป็นกรณีที่ได้กำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมไว้แล้ว โดยยื่นแบบ ภ.พ.01 คำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร นั้น

แม้ผู้ประกอบการที่มีมูลค่าของฐานภาษีในการประกอบกิจการเกิน 1,800,000 บาทต่อปี จะยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มต่ออธิบดีกรมสรรพาก ตามแบบ ภ.พ.01 ภายใน 30 วันตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 85/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ดังกล่าว แล้วก็ตาม ผู้ประกอบการยังคงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ในอัตรา 2 เท่าของจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของฐานภาษีที่มิใด้จดทะเบียน เนื่องจากประกอบการโดยมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85 และมาตรา 85/1 แห่งประมวลรัษฎากร 

ซึ่งเรื่องนี้ กรมสรรพากรทราบด้วยดีมาแต่ต้นว่า เป็นกรณีที่กฎหมายมีความย้อนแย้ง (Conflict) กัน กล่าวคือ ให้เวลาแก่ผู้ประกอบการในอันที่จะจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษีเกินกว่าฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม แต่ก้กำหนดให้ต้องเสียเบี้ยปรับ ทั้งที่ผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือกระทำตามที่กฎหมายกำหนดแล้่ว ดังนั้นในกรณี้ที่ผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือแก่ทางราชการในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว พร้อมทั้งยื่นแบบ และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มไว้แล้ว ถือได้ว่า ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนั้น ๆ ได้ให้ความร่วมมือแก่ทางราชการ และไม่มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม อันเป็นที่ทราบกันในหมู่ผู้เจริญที่ได้ศึกษากฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มโดยชัดแจ้งว่า กรมสรรพากรไม่มีเจตนาที่จะเรียกเก็บเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร จากผู้ประกอบการในกรณีนี้ กรมสรรพากรจึงได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป 121/2545 เรื่อง มอบหมายให้สั่งและดำเนินการเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ดังนี้

ข้อ 2 มอบหมายให้บุคคลดังต่อไปนี้ สั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์ทีอธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยไม่จำกัดจำนวนเบี้ยปรับ

       (1) ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีกลาง สำหรับเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร

       (2) ผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ตามที่กรมสรรพากรกำหนด

       (3) สรรพากรภาค และนักวิชาการภาษี 9 ชช. ที่ปฏิบัติราชการ ณ สำนักงานสรรพากรภาค สำหรับเขตท้องที่สำนักงานสรรพากรภาคนั้น

             การสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรของนักวิชาการภาษี 9 ชช. ตามวรรคหนึ่ง สรรพากรภาคจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการสั่งและปฏิบัติราชการแทนตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีก็ได้

       (4) สรรพากรพื้นที่ สำหรับเขตท้องที่สำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่นั้น

       (5) สรรพากรพื้นที่สาขา สำหรับเขตท้องที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขานั้น”

ทั้งนี้ การงดเบี้ยปรับในกรณีดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1.  เป็นการสั่งงดเบี้บปรับตามหลักเกณฑ์ทีอธิบดีกรมสรรพากรกำหนดไว้ตามข้อ 2 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 ฯ ดังนี้

     1.1 ผู้ประกอบการที่จะต้องเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินแสดงเหตุที่ของดหรือลดเบี้ยปรับนั้น เว้นแต่กรณีอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาเห็นสมควรจะสั่งให้งดหรือลดเบี้ยปรับโดยไม่ต้องมีคำร้องก็ได้

     1.2 การยื่นคำร้องดังกล่าว ให้ยื่นก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมิน ถ้าได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป

     1.3 ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระ ภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือ ให้ถือว่าแบบแสดงรายการดังกล่าวเป็นคำร้องของดเบี้ยปรับ

           คำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือ หมายความถึง กรณีเจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจพบความผิดและได้มีการบันทึกความผิดไว้ในหนังสือหรือบันทึกข้อความแล้ว

2. เป็นการสั่งงดเบี้บปรับตามเงื่อนไขที่กำหนดตามข้อ 3 ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 ฯ โดยกำหนดหใเจ้าพนักงานประเมินพิจารณางดเบี้ยปรับให้ได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้

     2.1 เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า ผู้ประกอบการที่จะต้องเสียเบี้ยปรับไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี และ

     2.2 ผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวนด้วยดี


ดังนั้น นับแต่อธิบดีกรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป 121/2545 เรื่อง มอบหมายให้สั่งและดำเนินการเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ลงวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา เจ้าพนักงานสรรพากรที่ได้รับการศึกษาอบรมเกี่ยวกับการคำนวณเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีผู้ประกอบการได้ให้ความร่วมมือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามมาตรา 85/1 แห่งประมวลรัษฎากร โดยได้ยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับมูลค่าของฐานภาษีในส่วนที่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือ โดยเจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจพบความผิดและได้มีการบันทึกความผิดไว้ในหนังสือ (ต.6) หรือ บันทึกข้อความแล้ว ก็ย่อมได้รับการพิจารณางดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ในกรณีนี้โดยปริยายทุกราย โดยไม่มีการผลัดผ่อนบิดพริ้วใด ๆ จากเจ้าพนักงานประเมิน

จึงหวังว่า เสียงสะท้อนตามข้อความนี้ จะได้เข้าถึงเจ้าพนักงานประเมินที่ยังไม่ทราบถึงเจตนารมณ์ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 ฯ และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 121/2545 ฯ จะได้โปรดทราบถึงแนวทางปฏิบัติที่เป็นอริยะ อันประเสร็ฐของกรมสรรพากรด้วยดี และเสนอให้สรรพากรพื้นที่งดเบี้ยปรับให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นโดยพลัน เพราะการฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาในกรณีนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียภาษีอากร ซึ่งอาจเข้าองค์ประกอบแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ได้โดยง่ายดาย


 ประมวลรัษฎากร 


มาตรา 85/1 ผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้

       (1) สำหรับผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ และมีมูลค่าของฐานภาษีในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 81/1 ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในสามสิบวันนับแต่

             (ก) วันที่มูลค่าของฐานภาษีในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม สำหรับกรณีที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมไว้แล้ว หรือ

             (ข) วันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ สำหรับกรณีที่มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมขึ้นใหม่ หรือมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมน้อยกว่าที่กำหนดไว้ก่อน

       (2) สำหรับผู้ประกอบการที่ได้แจ้งต่ออธิบดีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81/3 ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้แจ้งต่ออธิบดี

       ให้นำมาตรา 85 วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ มาใช้บังคับ

 

มาตรา 89 ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือบุคคลตามมาตรา 86/13 เสียเบี้ยปรับในกรณีและตามอัตราดังต่อไปนี้

       (1) ประกอบกิจการโดยมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 85 หรือมาตรา 85/1 หรือประกอบกิจการเมื่อถูกสั่งเพิกถอนใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 85/17 แล้ว ให้เสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษีที่ต้องเสียในเดือนภาษี ตลอดระยะเวลาที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว หรือเป็นเงินหนึ่งพันบาทต่อเดือนภาษีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า...

       เบี้ยปรับตามมาตรานี้อาจงดหรือลดลงได้ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.81/2542)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.120/2545)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.121/2545)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.140/2547)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.81/2542)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.92/2542)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.98/2543)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.117/2545)

 

 

คำสั่งกรมสรรพากร

ที่ ท.ป. 81/2542

เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ

ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

---------------------------------------------

 

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 ทวิ วรรคสอง มาตรา 67 ตรี วรรคสาม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 31) พ.ศ. 2534 มาตรา 89 วรรคสอง และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ.2534 อธิบดี กรมสรรพากรโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดหลักเกณฑ์การงดหรือลด เบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิก

       (1) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 11/2529 เรื่อง ระเบียบการงด หรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้และภาษีการค้าตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี และมาตรา 89 แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 10 กันยายน พ.ศ.2529

       (2) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 37/2534 เรื่อง ระเบียบการงด หรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 และภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 50/2537 เรื่อง ระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตาม มาตรา 89 และภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ.2537

ข้อ 2 ให้บุคคลที่จะต้องเสียเบี้ยปรับตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 หรือมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ทำคำร้องเป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินแสดงเหตุที่ของดหรือลดเบี้ยปรับนั้น เว้นแต่กรณีอธิบดีกรมสรรพากรพิจารณาเห็นสมควรจะสั่งให้งดหรือลดเบี้ยปรับโดยไม่ต้องมีคำร้องก็ได้

       การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือแจ้งการประเมิน ถ้าได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ พิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป

       ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระ ภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ หรือกรณีผู้ประกอบกิจการที่เสียภาษีธุรกิจ เฉพาะได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีธุรกิจเฉพาะพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการนั้น โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือ ให้ถือว่าแบบแสดงรายการดังกล่าวเป็นคำร้องตามวรรคหนึ่ง

       คำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือตามวรรคสาม หมายความถึง กรณีเจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจพบความผิดและได้มีการบันทึกความผิดไว้ในหนังสือหรือบันทึกข้อความแล้ว

(ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 127/2546)

ข้อ 3 เจ้าพนักงานประเมินจะพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับให้ได้เฉพาะกรณีเจ้า พนักงานประเมินเห็นว่า บุคคลที่จะต้องเสียเบี้ยปรับไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี และได้ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวนด้วยดี

ข้อ 4 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 22 หรือมาตรา 26 แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ แต่ต้องให้เสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของ เบี้ยปรับ

ข้อ 5 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (1) มาตรา 89 (2) มาตรา 89 (3) และมาตรา 89 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ โดยให้ลดลงคงเสียตามอัตราและเงื่อนไขดังต่อไปนี้

       (1) ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีตามมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือแบบนำส่งภาษีและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการหรือแบบนำส่งนั้น โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจ สอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือ ให้เสียเบี้ยปรับดังนี้

             (ก) ถ้าชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาชำระภาษี มูลค่าเพิ่ม ให้เสียร้อยละ 2 ของเบี้ยปรับ

             (ข) ถ้าชำระภายหลัง 15 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน นับแต่วันพ้น กำหนดเวลาชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เสียร้อยละ 5 ของเบี้ยปรับ

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 117/2545)

             (ค) ถ้าชำระภายหลัง 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันพ้น กำหนดเวลาชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เสียร้อยละ 10 ของเบี้ยปรับ

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 117/2545)

             (ง) ถ้าชำระภายหลัง 60 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาชำระภาษี มูลค่าเพิ่ม ให้เสียร้อยละ 20 ของเบี้ยปรับ

       (2)  ในกรณีเจ้าพนักงานประเมินได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีตามมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร ยื่นแบบแสดงรายการภาษี มูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.71) หรือแบบนำส่งภาษี และผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี ตามมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มายื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือแบบนำส่งภาษี และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการหรือแบบนำส่งนั้น

             (ก)  ภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือดังกล่าว ให้เสีย ร้อยละ 40 ของเบี้ยปรับ

             (ข)  พ้นกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือดังกล่าว ให้เสียร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ

       (3) ในกรณีเจ้าพนักงานประเมินตรวจพบการกระทำความผิดในการ เสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีตามมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร และได้มีการบันทึกความผิดไว้ในหนังสือหรือบันทึกข้อความแล้ว ให้เสียเบี้ยปรับดังนี้

             (ก) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ภายในหนึ่งปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 40 ของเบี้ยปรับ

             (ข) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อ พ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ

       (4) ในกรณีที่มีการตรวจพบการกระทำความผิดตาม (3) แล้ว แต่ เจ้าพนักงานประเมินยังไม่ได้ดำเนินการประเมินภาษีให้เสร็จสิ้น และผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือ ผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีตามมาตรา 83/7 แห่งประมวลรัษฎากร ได้มายื่นแบบแสดงรายการภาษี หรือแบบนำส่งภาษีและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการหรือแบบนำส่งนั้น ก่อนที่จะได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน ให้ถือว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจพบการกระทำ ความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้มีหน้าที่เสียภาษีหรือผู้มีหน้าที่นำส่งภาษี ให้เจ้าพนักงาน ประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดเบี้ยปรับได้ ตามอัตราและเงื่อนไขตาม (3)

ข้อ 6 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (5) และมาตรา 89 (10) แห่งประมวล รัษฎากร ซึ่งไม่ใช่กรณีมีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ให้เจ้าพนักงานประเมินมี อำนาจพิจารณาสั่งลดได้ โดยให้ลดลงคงเสียตามอัตราและเงื่อนไขดังต่อไปนี้

             (ก) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นภายใน หนึ่งปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 40 ของเบี้ยปรับ

             (ข) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อพ้น กำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ

ข้อ 7 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (10) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีมีสินค้า ขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ โดยให้ ลดลงคงเสียตามอัตราและเงื่อนไขดังต่อไปนี้

       (1) ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้นำฐานภาษีซึ่งมีการกระทำความผิด กรณีมีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษี มูลค่าเพิ่มพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการแล้ว ไม่ว่าการยื่นแบบแสดงรายการภาษีนั้นจะ ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ให้เสียเบี้ยปรับดังนี้

             (ก) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ภายในสองปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 10 ของเบี้ยปรับ

             (ข) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อ พ้นกำหนดสองปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 20 ของเบี้ยปรับ

       (2) ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ได้นำฐานภาษีซึ่งมีการกระทำความผิด กรณีมีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้ เสียร้อยละ 30 ของเบี้ยปรับ

ข้อ 8 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้า พนักงานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ โดยให้ลดลงคงเสียตามอัตราและเงื่อนไขดัง ต่อไปนี้

       (1) ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้นำฐานภาษีซึ่งมีการกระทำความผิดตามมาตรา 89 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการแล้ว ไม่ว่าการยื่นแบบแสดงรายการภาษีนั้นจะถูกต้องครบ ถ้วนหรือไม่ ให้เสียเบี้ยปรับดังนี้

             (ก) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้น ภายในสองปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 0.5 ของเบี้ยปรับ

             (ข) ถ้าการกระทำความผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อ พ้นกำหนดสองปี นับแต่วันที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ให้เสียร้อยละ 1 ของเบี้ยปรับ

       (2) ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่ได้นำฐานภาษีซึ่งมีการกระทำความผิด ตามมาตรา 89 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ไปยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เสีย ร้อยละ 10 ของเบี้ยปรับ

ข้อ 9 การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (9) แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้าพนัก งานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ แต่ต้องให้เสียไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ

ข้อ 10 การงดหรือลดเบี้ยปรับตามมาตรา 89 (6) และมาตรา 89 (7) แห่ง ประมวลรัษฎากร เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจพิจารณาสั่งงดหรือลดได้ เว้นแต่อธิบดี กรมสรรพากรจะสั่งเป็นอย่างอื่น

ข้อ 11 การงดหรือลดเบี้ยปรับนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในคำสั่งนี้ ให้ กระทำได้เมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 120/2545)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 121/2545)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 127/2546)

ข้อ 12 ในกรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีจะต้องเสียเบี้ยปรับหลายกรณีตามมาตรา 89 แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้าพนักงานประเมินสั่งเรียกเก็บเบี้ยปรับได้เพียงกรณีเดียว ซึ่ง เป็นกรณีที่จะทำให้เรียกเก็บได้เงินเป็นจำนวนมาก และอาจพิจารณาสั่งลดให้อีกตามข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 หรือข้อ 11 สำหรับกรณีที่เรียกเก็บนั้น ส่วนกรณีอื่นให้งด

ข้อ 13 ให้นำความในข้อ 5 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 11 และข้อ 12 มาใช้บังคับสำหรับการงดหรือลดเบี้ยปรับตามมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากรโดย อนุโลม

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.121/2545)

(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.127/2546 )

ข้อ 14 ให้บุคคลที่จะต้องเสียเงินเพิ่ม ตามมาตรา 67 ตรี ทำคำร้องเป็น หนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินแสดงเหตุที่ของดหรือลดเงินเพิ่มนั้น เว้นแต่กรณีอธิบดีกรม สรรพากรพิจารณาเห็นสมควรจะสั่งให้งดหรือลดเงินเพิ่มโดยไม่ต้องมีคำร้องก็ได้

       การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ให้ยื่นก่อนที่เจ้าพนักงานประเมินมีหนังสือ แจ้งการประเมิน ถ้าได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณา อุทธรณ์ตามกฎหมายต่อไป

       ในกรณีบุคคลตามวรรคหนึ่งได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษี เงินได้นิติบุคคลกลางปี โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็น หนังสือ ให้ถือว่าแบบแสดงรายการดังกล่าวเป็นคำร้องตามวรรคหนึ่

       คำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวนโดยตรงเป็นหนังสือตามวรรค สามหมายความถึง กรณีเจ้าพนักงานประเมินได้ตรวจพบความผิดและได้มีการบันทึกความผิด ไว้ในหนังสือหรือบันทึกข้อความแล้ว

ข้อ 15 เจ้าพนักงานประเมินจะพิจารณางดหรือลดเงินเพิ่มให้ได้เฉพาะกรณี เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่า บุคคลที่จะต้องเสียเงินเพิ่มไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและได้ให้ ความร่วมมือในการตรวจสอบไต่สวนด้วยดี

ข้อ 16 การลดเงินเพิ่มตามมาตรา 67 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจพิจารณาสั่งลดได้ ดังต่อไปนี้

       (1) กรณีบุคคลที่จะต้องเสียเงินเพิ่มได้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการ โดยไม่ได้รับคำเตือนหรือคำเรียกตรวจสอบไต่สวน โดยตรงเป็นหนังสือ ให้ลดเงินเพิ่มได้ แต่ต้องเสียในอัตราและตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

             (ก) ถ้าชำระภายใน 2 วัน นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นรายการ ให้เสียร้อยละ 0.10 ของเงินภาษีที่ต้องชำระ

             (ข) ถ้าชำระภายหลัง 2 วัน แต่ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันพ้น กำหนดเวลายื่นรายการ ให้เสียร้อยละ 0.50 ของเงินภาษีที่ต้องชำระ

       (2) กรณีอื่นนอกจาก (1) ให้เสียร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษ ของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระ แต่ไม่เกินเงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด

ข้อ 17 การงดหรือลดเงินเพิ่มนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในคำสั่งนี้ ให้ กระทำได้เมื่อได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรหรือผู้ที่อธิบดีกรมสรรพากรมอบหมาย

ข้อ 18 คำสั่งกรมสรรพากรที่ถูกยกเลิกโดยคำสั่งนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีการค้า ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปสำหรับการจัดเก็บภาษีการค้าที่ต้องชำระอยู่ก่อนหรือในและหลังวันที่ คำสั่งฉบับนี้ใช้บังคับ

คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันออกคำสั่งนี้เป็นต้นไป

 

สั่ง ณ วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542

 

ร้อยเอก สุชาติ เชาว์วิศิษฐ

อธิบดีกรมสรรพากร


 

คำสั่งกรมสรรพากร

ที่ ท.ป. 120/2545

เรื่อง มอบหมายการสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรกรณีการนำเข้า

--------------------------------

 

เพื่อให้การสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามระเบียบการงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ออกตามความในมาตรา 89 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 เป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 38 (7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 11 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21(6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 อธิบดีกรมสรรพากรจึงมีคำสั่งดังต่อไปนี้

ข้อ 1 มอบหมายให้เจ้าพนักงานประเมินสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่ต้องมีคำร้องของผู้นำเข้า ดังนี้

       (1) ในกรณีที่ผู้นำเข้าได้รับการงดค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม

       (2) ในกรณีที่มีการเรียกค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรน้อยกว่าหนึ่งเท่าของเงินอากรที่ขาด ให้ลดเบี้ยปรับลงคงเสียตามอัตราส่วนของค่าปรับที่เรียกตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร

       (3) ในกรณีที่ไม่มีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร แต่เจ้าพนักงานตรวจพบว่าผู้นำเข้ายื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดทำให้จำนวนภาษีที่ต้องเสียคลาดเคลื่อนไป ให้ลดเบี้ยปรับลงคงให้เสียร้อยละ 50 ของเบี้ยปรับ

       (4) ในกรณีที่ผู้นำเข้าไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและเบี้ยปรับที่ต้องเสียเต็มอัตราตามกฎหมายมีจำนวนไม่เกิน 1,000.- บาท ให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม

 ข้อ 2 คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป

 

สั่ง ณ วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545

 

ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล

(นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)

อธิบดีกรมสรรพากร

  

 

คำสั่งกรมสรรพากร

ที่ ท.ป. 121/2545

เรื่อง  มอบหมายให้สั่งและดำเนินการเกี่ยวกับการพิจารณางดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ

--------------------------------

 

เพื่อให้การสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 38 (7) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น ดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 2 แห่งประมวลรัษฎากร ข้อ 11 และข้อ 13 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 81/2542 เรื่อง หลักเกณฑ์การงดหรือลดเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 67 ตรี มาตรา 89 และมาตรา 91/2 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 อธิบดีกรมสรรพากรจึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิก

       (1) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 61/2539 เรื่อง มอบอำนาจการสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ลงวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2539

       (2) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 70/2540 เรื่อง มอบอำนาจสั่งงดเบี้ยปรับ ภาษีธุรกิจเฉพาะตามประมวลรัษฎากร กรณีการขายอสังหาริมทรัพย์บางกรณี ลงวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2540

       (3) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 96/2543 เรื่อง มอบอำนาจการสั่งงดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร การสั่งขยายกำหนดเวลาการอุทธรณ์และการสั่งอนุมัติให้ทุเลาการเสียภาษีอากรสำหรับศูนย์บริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543

ข้อ 2 มอบหมายให้บุคคลดังต่อไปนี้ สั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะ ตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ตามหลักเกณฑ์ทีอธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยไม่จำกัดจำนวนเบี้ยปรับ

       (1) ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีกลาง สำหรับเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร

       (2) ผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ตามที่กรมสรรพากรกำหนด

       “(3) สรรพากรภาค และนักวิชาการภาษี 9 ชช. ที่ปฏิบัติราชการ ณ สำนักงานสรรพากรภาค สำหรับเขตท้องที่สำนักงานสรรพากรภาคนั้น

             การสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรของนักวิชาการภาษี 9 ชช. ตามวรรคหนึ่ง สรรพากรภาคจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการสั่งและปฏิบัติราชการแทนตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีก็ได้”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.142/2547 ใช้บังคับ 17 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป)

       (4) สรรพากรพื้นที่ สำหรับเขตท้องที่สำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่นั้น

       (5) สรรพากรพื้นที่สาขา สำหรับเขตท้องที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขานั้น

 ข้อ 3 มอบหมายให้เจ้าพนักงานสั่งงดหรือลดเบี้ยปรับภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 22 มาตรา 26 มาตรา 89 และมาตรา 91/21 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ได้ นอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด สำหรับคำร้องขอ งดหรือลดเบี้ยปรับที่มีจำนวนเบี้ยปรับเต็มอัตราตามกฎหมาย ดังนี้

       (1) ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีกลาง สำหรับเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรไม่เกิน 500,000.- บาท

       (2) ผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ตามที่กรมสรรพากรกำหนด ไม่เกิน 500,000.- บาท

       “(3) สรรพากรภาค และนักวิชาการภาษี 9 ชช. ที่ปฏิบัติราชการ ณ สำนักงานสรรพากรภาค สำหรับเขตท้องที่สำนักงานสรรพากรภาคนั้น ไม่เกิน 300,000.- บาท

             การสั่งและปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากรของนักวิชาการภาษี 9 ชช. ตามวรรคหนึ่ง สรรพากรภาคจะกำหนดหลักเกณฑ์ในการสั่งและปฏิบัติราชการแทนตามความเหมาะสมในแต่ละกรณีก็ได้”

(แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.142/2547 ใช้บังคับ 17 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป)

       (4) สรรพากรพื้นที่ สำหรับเขตท้องที่สำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่นั้นไม่เกิน 100,000.-บาท

ข้อ 4 คำสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป

 

สั่ง ณ วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2545

 

ศุภรัตน์ ควัฒน์กุล

(นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล)

อธิบดีกรมสรรพากร