เรียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับนักบัญชี ตอนที่ 5 หลักการภาษีมูลค่าเพิ่ม
บทความวันที่ 20 ม.ค. 2564 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2914 ครั้ง
บทความวันที่ 20 ม.ค. 2564 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2914 ครั้ง
เรียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับนักบัญชี
ตอนที่
5
หลักการภาษีมูลค่าเพิ่ม
นอกเหนือจากประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีอากรประเมิน
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการเยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ได้นำมากล่าวไว้แล้วในตอนที่
3 ในตอนนี้ จะได้นำหลักการภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนที่เหลือมากล่าว เพื่อใช้เป็นหลักการเบื้องต้นในการศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มโดยละเอียดต่อไป
เนื่องเพราะ ในส่วนของเนื้อหาของกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม ล้วนแต่เป็นส่วนขยายความของหลักการของกฎหมายภาษีมูลค่า
(General
VAT Principle) ที่จักได้กล่าวดังต่อไปนี้ทั้งสิ้น
1. ภาษีมูลค่าเพิ่มมุ่งจัดเก็บจากการบริโภค
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำมาใช้บังคับจัดเก็บในประเทศไทย
เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มตามฐานการบริโภค (Consumption Type VAT) ซึ่งมุ่งจัดเก็บจากการบริโภค (Tax on Consume) ดังนั้น
ผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มโดยแท้จริง คือ ผู้บริโภคคนสุดท้าย (Final
Consumers) ซึ่งเป็นระบบภาษีที่ไม่มุ่งหมายที่จะจัดเก็บจากการลงทุนของผู้ประกอบการที่รัฐกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายสินค้าหรือการให้บริการที่ท้ายที่สุดตกไปถึงผู้บริโภค
ในระบบนี้ จึงยอมให้ผู้ประกอบการนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีซื้อ) จากการลงทุนในทรัพย์สิน
หรือรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหลาย อันเป็นสินค้าหรือบริการขั้นกลาง (Middle Process) มาเครดิตหักออกจากภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ภาษีขาย)ที่ ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือให้บริการได้ มีผลทำให้การลงทุนของผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มจะต่ำกว่าผู้ที่มิได้อยู่ในระบย
ด้วยจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการลงทุนนั้น
ดังนั้น สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการ แม้จะถูกกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยต้องมีหน้าที่ยื่นรายการ และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือนภาษีก็ตาม แต่ผู้ประกอบการก็ได้สิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการได้หรือ
“ภาษีขาย” (Output
Tax) และนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้จ่ายหรือพึงต้องจ่ายหรือ “ภาษีซื้อ” (Input Tax)
มาเครดิตหักออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เรียกเก็บหรือมีสิทธิเรียกเก็บหรือภาษีขายนั้น
ซึ่งเท่ากับผู้ประกอบการจะได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกลับคืนมาทันที
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้ประกอบการมียอดภาษีซื้อมากกว่ายอดภาษีขายในแต่ละเดือนภาษี ก็จะได้สิทธิขอคืนเงินภาษี
มูลค่าเพิ่มดังกล่าวจากทางราชการ
2. ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อม
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) เพราะแม้จะมุ่งจัดเก็บจากการบริโภคของผู้บริโภค
แต่โดยระบบการบริหารการจัดเก็บที่จัดเก็บจากฐานการบริโภคภายในประเทศทุกประเภท
ไม่อาจจัดเก็บภาษีโดยตรงจากผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากผู้บริโภคมีจำนวนมาก จึงกำหนดให้
ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดังกล่าวไม่ต้องเป็นผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่ตนต้องเสียตามกฎหมายแต่อย่างใด
เพราะผู้ประกอบการดังกล่าวมีสิทธิได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากทางราชการกรมสรรพากรโดยการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้เสียหรือชำระให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นหรือจากการนำเข้า
และผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังผู้บริโภคได้ โดยการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีภาษีมูลค่าเพิ่มอาจจัดเป็นภาษีทางตรง (Direct Tax) ได้แก่ กรณีผู้บริโภคเป็นผู้นำสินค้าเข้ามาจากต่างประเทศด้วยตนเอง ซึ่งผู้บริโภคต้องยื่นใบขนสินค้าขาเข้า และแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเสียอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยตนเอง
ตารางแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และผู้รับภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม
กิจกรรมที่ต้องเสีย VAT |
ผู้มีหน้าที่เสีย VAT |
ผู้รับภาระ VAT |
ประเภทภาษี |
- การขายสินค้าในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ |
ผู้ประกอบการ |
ผู้บริโภค |
ภาษีทางอ้อม |
- การให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพ |
ผู้ประกอบการ |
ผู้บริโภค |
ภาษีทางอ้อม |
- การนำเข้าโดยผู้ประกอบการ |
ผู้ประกอการ |
ผู้บริโภค |
ภาษีทางอ้อม |
- การนำเข้าโดยผู้บริโภค |
ผู้บริโภค |
ผู้บริโภค |
ภาษีทางตรง |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บจากเฉพาะมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าหรือบริการ
ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บจากเฉพาะมูลค่าส่วนที่เพิ่มขึ้นของสินค้าหรือบริการในทุกขั้นตอนของการขายสินค้าหรือการให้บริการ
เฉพาะส่วนที่ยังไม่ผ่านการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน ภาษีมูลค่าเพิ่มจึงได้ชื่อว่าเป็นภาษีที่จัดเก็บไม่ซ้ำซ้อน
และมีความเป็นธรรมอย่างยิ่ง และเป็นประเภทภาษีทางอ้อมที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกหรือเป็นที่ยอมรับในนานาอารยประเทศอย่างรวดเร็วและกว้างขวางกว่าทุกประเภทภาษีอากร
อย่างไม่เคยมีมาก่อน
สำหรับผู้ประกอบการแต่ละรายถูกกำหนดให้ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการประกอบประกอบกิจการของตน
โดยคำนวณภาษีที่ต้องชำระจากยอด “ภาษีขาย” หรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากการประกอบกิจการขายสินค้าหรือการให้บริการ
(Output Tax) หักด้วย “ภาษีซื้อ”
หรือภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้จ่ายหรือพึงต้องจ่าย (Input
Tax) ตามหลักฐานใบกำกับภาษี (Tax Invoice)
จากแผนภาพที่ 1 สมมติผู้ประกอบการจดทะเบียน
ทั้งสามรายเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของมูลค่าสินค้าหรือค่าบริการ
โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียจากยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 1 ได้สินค้ามาโดยไม่มีภาษีซื้อ เมื่อขายสินค้าในราคา 1,000 บาท ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 2 จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 70 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
2 เนื่องจากไม่มีภาษีซื้อมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนภาษีขายที่เรียกเก็บทั้งจำนวน 70 บาท ดังนี้
จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ 1,000 บาท
เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 2 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 1,000 บาท มีภาษีซื้อ
70 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี เมื่อขายสินค้าในราคา 2,000
บาท ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 3 จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 140 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3 เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน 70 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน (140 - 70) = 70
บาท ดังนี้ จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ ราคาสินค้าที่ขาย 2,000
บาทหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ซื้อมา 1,000 บาท ได้เป็นเงิน 1,000 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 3 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 2,000 บาท มีภาษีซื้อ
140 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี เมื่อขายสินค้าในราคา 3,000
บาท ให้แก่ผู้บริโภค จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ 7.0
เป็นเงิน 210 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน
140 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน
(210 - 140) = 70 บาท ดังนี้
จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ ราคาสินค้าที่ขาย 3,000
บาทหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ซื้อมา 2,000 บาท ได้เป็นเงิน 1,000 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
เมื่อรวมจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนทั้งสามรายชำระให้แก่กรมสรรพากร
จะได้เป็นเงิน 210 บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 7.0 ของมูลค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3
อนึ่ง
ภาษีซื้อของในการประกอบกิจการทั้งหลายของผู้ประกอบการจดทะเบียน อาทิ
ต้นทุนของสินค้าหรือต้นทุนบริการ
และรายจ่ายในการประกอบกิจการ เช่น ค่าโฆษณา ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
ก็ให้สามารถนำภาษีซื้อสำหรับสินค้าทุนตามหลักฐานใบกำกับภาษีมาหักออกจากภาษีขายเพื่อการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระได้เช่นเดียวกับ
ภาษีซื้อจากการลงทุนซื้อสินค้า หรือวัตถุดิบ หรือรายจ่ายจากการประกอบกิจการอื่นใด
จึงทำให้ต้นทุนสำหรับการลงทุนในสินค้าทุนต่ำลง ซึ่งแตกต่างจากผู้
ประกอบการที่มิได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนในส่วนนี้ด้วย
5. หลักการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแบบการบริโภค
5.1 ภาษีมูลค่าเพิ่มที่นำมาใช้จัดเก็บในประเทศไทยเป็นระบบภาษีที่มุ่งจัดเก็บจากการบริโภค
โดยไม่จัดเก็บจากการลงทุน จึงยอมให้ผู้ประกอบการนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีซื้อ)
จากการลงทุนในทรัพย์สิน หรือรายจ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหลาย
มาเครดิตหักออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการได้เรียกเก็บจากการขายสินค้าหรือให้บริการ
(ภาษีขาย) ทำให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนในการประกอบการที่ต่ำลง
และไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษี
5.2 การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระในแต่ละเดือนภาษี
ใช้วิธีเครดิต (Credit Method)
โดยนำยอดภาษีขายมาหักด้วยยอดภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี โดยไม่คำนึงว่าภาษีขายและภาษีซื้อนั้นจะมีความสัมพันธ์กันหรือไม่
6. ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บตามหลักปลายทาง
6.1 หลักเกณฑ์การกำหนดขอบเขตการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ
การกำหนดขอบเขตการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ โดยทั่วไปมี 2
หลักเกณฑ์คือ
6.1.1 หลักต้นทาง
(Original Principle) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บตามหลักต้นทาง
ประเทศที่เป็นต้นทางของสินค้า หรือบริการจะเป็นผู้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่ในทางตรงกันข้ามจะยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้า
หรือบริการที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ
ซึ่งไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้เนื่องจากทำให้ต้นทุนของสินค้าที่ส่งออกมีราคาเพิ่มขึ้น
ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
6.1.2 หลักปลายทาง
(Destination Principle) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บตามหลักปลายทาง
ประเทศที่เป็นปลายทางของสินค้าหรือบริการจะเป็นผู้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
สำหรับสินค้าหรือบริการที่นำเข้าจากต่างประเทศ
แต่ในทางตรงกันข้ามจะกำหนดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 0 สำหรับสินค้าหรือบริการที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ
6.2 การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการค้าระหว่างประเทศ
ในประเทศไทย ถือปฏิบัติตามหลักปลายทาง (Destination
Principle) ดังนี้
6.2.1
กรณีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ถือว่าปลายทาง (Destination) ของสินค้าดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย จึงกำหนดให้การนำเข้าสินค้านั้น
เป็นกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในลักษณะเดียวกับการขายสินค้าหรือการให้บริการในราชอาณาจักร
โดยกำหนดให้กรมศุลกากรเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มแทนกรมสรรพากร
สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำเข้า
ย่อมนำภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้า หรือภาษีซื้อไปเครดิตหักออกจากภาษีขาย
หรือภาษีมูลค่าเพิ่มได้เรียกเก็บหรือมีสิทธิเรียกเก็บ ในการคำนวณภาษีมูลค่า
เพิ่มที่ต้องชำระในแต่ละเดือนภาษี
ส่วนผู้นำเข้าอื่นใดที่มิใช่ผู้ประกอบการอาจต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าดังกล่าว
โดยเฉพาะผู้นำเข้าที่เป็นผู้บริโภคคนสุดท้าย
จากแผนภาพที่
2 สมมติผู้ประกอบการจดทะเบียน
ทั้งสามรายเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ของมูลค่าสินค้าหรือค่าบริการ
โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียจากยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
1 ได้สินค้ามาโดยการนำเข้ามีภาษีซื้อจำนวน 500 บาท
เมื่อขายสินค้าในราคา 1,000 บาท
ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 2 จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 70 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
2 เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน 35 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน (70 - 35) = 35
บาท ดังนี้ จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้
คือ ราคาสินค้าที่ขาย 1,000 บาท หักด้วยต้นทุนสินค้าที่นำเข้าจำนวน
500 บาท ได้เป็นเงิน 500 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 35 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
2 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 1,000
บาท มีภาษีซื้อ 70 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี เมื่อขายสินค้าในราคา 2,000 บาท ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 3 จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 140 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3 เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน 70 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน
(140 - 70) = 70 บาท ดังนี้
จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ ราคาสินค้าที่ขาย 2,000
บาทหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ซื้อมา 1,000 บาท ได้เป็นเงิน 1,000 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 2,000
บาท มีภาษีซื้อ 140 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี เมื่อขายสินค้าในราคา 3,000 บาท ให้แก่ผู้บริโภค จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 210 บาท และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้บริโภค
เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน 140 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน
(210 - 140) = 70 บาท ดังนี้
จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ ราคาสินค้าที่ขาย 3,000
บาทหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ซื้อมา 2,000 บาท ได้เป็นเงิน 1,000 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
เมื่อรวมจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนทั้งสามรายชำระให้แก่กรมสรรพากร
จะได้เป็นเงิน 175 บาท รวมกับภาษีมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนนำเข้าจำนวน 35 บาท เป็นเงิน
210 บาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 7.0 ของมูลค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อจากผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3
6.2.2 กรณีนำเข้าบริการจากต่างประเทศ
ถือว่า ปลายทาง (Destination)
ของบริการดังกล่าวอยู่ในประเทศไทย จึงกำหนดให้การนำเข้าบริการนั้น
เป็นกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในลักษณะเดียวกับการขายสินค้าหรือการให้บริการในราชอาณาจักร
เช่นเดียวกับการนำเข้าสินค้า
แต่เนื่องจากการนำเข้าบริการไม่มีตัวสินค้าที่จะสำแดงและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ
ด่านศุลกากรได้ดังเช่นกรณีการนำเข้าสินค้า จึงกำหนดให้ผู้นำเข้าบริการเป็นผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ประกอบการที่เป็นผู้ให้บริการจากต่างประเทศนั้น
สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นผู้นำเข้าบริการ
เมื่อได้นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ย่อมนำภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่ได้นำส่ง
ไปถือภาษีซื้อเพื่อเครดิตหักออกจากภาษีขาย หรือภาษีมูลค่าเพิ่มได้เรียกเก็บหรือมีสิทธิเรียกเก็บ
ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระในแต่ละเดือนภาษีได้
6.2.3
กรณีส่งออกสินค้าหรือบริการ
เนื่องจากปลายทางของสินค้าหรือบริการนั้นอยู่ในต่าง ประเทศ
จึงกำหนดให้มีการขจัดภาระภาษีมูลค่าเพิ่มสำรับสินค้าหรือบริการที่ส่งออกโดยให้ผู้ประกอบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ
0 (Zero Rating) อันจะทำให้ภาษีขายของผู้ประกอบการเป็นศูนย์
หากผู้ประกอบการมีภาษีซื้อจากการซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ
และทรัพย์สินก็ย่อมจะได้รับคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีซื้อดังกล่าวกลับคืนจากรัฐมาเป็นตัวเงิน
โดยรัฐไม่ต้องชดเชยภาษีสำหรับการส่งออกซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบการค้าระหว่างประเทศ
จากแผนภาพที่ 3
สมมติผู้ประกอบการจดทะเบียนทั้งสามรายเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ของมูลค่าสินค้าหรือค่าบริการ
โดยคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียจากยอดภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อในแต่ละเดือนภาษี
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 1 ได้สินค้ามาโดยไม่มีภาษีซื้อ เมื่อขายสินค้าในราคา
1,000 บาท ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 2
จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ 7.0 เป็นเงิน 70 บาท
และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 2
เนื่องจากไม่มีภาษีซื้อมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามจำนวนภาษีขายที่เรียกเก็บทั้งจำนวน 70 บาท ดังนี้
จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ 1,000 บาท
เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน
70 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
2 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 1,000 บาท มีภาษีซื้อ
70 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี เมื่อขายสินค้าในราคา 2,000
บาท ให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 3 จึงมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีขายในอัตราร้อยละ
7.0 เป็นเงิน 140 บาท
และออกใบกำกับภาษีและส่งมอบให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่ 3 เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน
70 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างของภาษีขายกับภาษีซื้อจำนวน (140 - 70) =
100 บาท ดังนี้ จะเห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนที่ยังไม่เคยเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมาก่อน
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้ คือ ราคาสินค้าที่ขาย 2,000
บาทหักด้วยต้นทุนสินค้าที่ซื้อมา 1,000 บาท ได้เป็นเงิน 1,000 บาท เมื่อคูณด้วยอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ก็จะได้จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 70 บาท เช่นกัน
ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่
3 ซื้อสินค้ามาในมูลค่า 2,000 บาท มีภาษีซื้อ 140 บาท ตามหลักฐานใบกำกับภาษี
เมื่อขายสินค้าในราคา 3,000 บาท โดยการส่งออกไปต่างประเทศ
ซึ่งได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ภาษีขายจึงเป็นจำนวน 0 บาท
เมื่อนำภาษีซื้อจำนวน 140 บาทมาเครดิตหักออกจากภาษีขาย
จึงมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายจำนวน (0 - 140) = -140 บาท ดังนี้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายนี้
จึงมีสิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 140 บาทจากกรมสรรพากร
เมื่อรวมจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนรายที่หนึ่ง
และรายที่สองชำระให้แก่กรมสรรพากร จะได้เป็นเงิน 140 บาท หักกลบกับจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการรายที่สาม
ขอคืนจากกรมสรรพากรจำนวน 140 บาท
ก็จะทำให้รัฐไม่ได้มีภาษีมลค่าเพิ่มที่เรียกเก็บจากสินค้าที่ส่งออกดังกล่าว สอดคล้องกับหลักการจัดภาษีมูลค่าตามหลักปลายทาง
7. ภาษีมูลค่าเพิ่มให้ความสำคัญต่อระบบเอกสารหลักฐาน
ภาษีมูลค่าเพิ่มให้ความสำคัญต่อระบบเอกสารหลักฐาน (Paper System) โดยเฉพาะใบกำกับภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระ
จึงนิยมเรียกระบบภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ระบบใบกำกับภาษี (Tax Invoice System) เนื่องจากใบกำกับภาษีเป็นเอกสารสำคัญที่จะทำให้ผู้ประกอบการ
ที่เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ สามารถถอดจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากราคาสินค้าหรือค่าบริการ
อันเป็นผลให้ผู้บริโภคคนสุดท้ายไม่ต้องรับภาระความซ้ำซ้อน
ของจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้นตอนการขายหรือการให้บริการ ดังนั้น
ตามประมวลรัษฎากร จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เกี่ยวกับใบกำกับภาษีในส่วนที่เป็นภาษีซื้อที่ไม่สามารถนำมาถือเป็นเครดิต
หักออกจากภาษีขายอยู่หลายรายการ ตามมาตรา 82/5 แห่งประมวลรัษฎากร
นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทำรายงานต่างๆ
การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งบทกำหนดโทษทั้งในทางแพ่ง
และในทางอาญาเกี่ยวกับใบกำกับภาษี และเอกสารหลักฐานต่างๆ
และการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
8.
บทสรุป
หลักการภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว
รวมทั้งข้อกำหนดตามมาตรา 77 แห่งประมวลรัษฎากร ที่บัญญัติให้ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม
เป็นภาษีอากร” เป็นพืนฐานที่สำคัญที่ใช้ในการศึกษาทำความเข้าใจระบบภาษีมูลค่าเพิ่มโดยละเอียดต่อไป
หรืออีกนัยหนึ่ง เนื้อหาของระบบภาษีมูลค่าเพิ่มโดยละเอียด ล้วนแต่เป็นบทขยายความของหลักการภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวทั้งสิ้น
จึงควรทำความชัดเจนถ่องแท้เกี่ยวกับหลักการภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อการสร้างความเข้าใจและการนำกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตอไป