ปุจฉา - วิสัชนา การรับรู้รายได้จากการส่งสินค้าออกไปฝากขาย
บทความวันที่ 18 ก.ย. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2725 ครั้ง
บทความวันที่ 18 ก.ย. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2725 ครั้ง
ปุจฉา - วิสัชนา การรับรู้รายได้จากการส่งสินค้าออกไปฝากขาย
ปุจฉา:
23 มีนาคม พ.ศ. 2562 = ลูกค้ามาวางเงินประกันที่เมืองไทย
= 300,000 บาท (ลุกค้ายืมสินค้าไปขายก่อนโดยไม่รู้ว่า จะขายได้มากน้อยเท่าไร เนื่องจากลูกค้ารายนี้เขาหัก
% จากการขายสินค้าได้)
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 = ส่งไป Export
ไปงาน fair ต่างประเทศ = 8,000 usd ซึ่งยื่น ภพ.30 เรียบร้อยแล้วใน เดือน 5 เต็มจำนวน 8,000 usd
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 = ลูกค้าสามารถขายหน้าร้านได้มากกว่า
8,000
usd ซึ่งขายได้ = 14,500 usd
(ลูกค้าจะโอนเงินมาให้ตาม invoice
= 8,000 usd แล้วส่วนต่างที่ขายได้มากกว่า =
14,500 usd ซึ่งบริษัทได้รับเงินแล้ว ณ วันที่ 23 มีนาคม
พ.ศ. 2562 ที่เขามาไทย)
***คำถามคือ =
ส่วนต่างที่ขายได้มากกว่า invoice = 14,500 usd (27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562) บริษัทฯ รับเงิน = 300,000 บาท (23 มีนาคม พ.ศ.
2562) ทางบริษัทฯ ต้องยื่น
1. ภ.พ.30 เพิ่มเติม เดือนไหน
2. ต้องยื่นรายได้เสีย 7% หรือ
ยื่นรายได้ส่งออก
วิสัชนา:
ตามมาตรา 70 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดเงื่อนไขการส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่ตัวแทน ถือเป็นการขาย
(Deemed
Sale) ดังนี้
“มาตรา 70 ตรี
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด ส่งสินค้าออกไปต่างประเทศให้แก่
หรือตามคำสั่งของสำนักงานใหญ่ สาขา บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
ตัวการ ตัวแทน นายจ้าง หรือลูกจ้าง
ให้ถือว่าการที่ได้ส่งสินค้าไปนั้นเป็นการขายในประเทศไทยด้วย และให้ถือ
ความในวรรคก่อนมิให้ใช้บังคับในกรณีที่สินค้านั้น
(1)
เป็นของที่ส่งไปเป็นตัวอย่างหรือเพื่อการวิจัยโดยเฉพาะ
(2) เป็นของผ่านแดน
(3) เป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร
แล้วส่งกลับออกไปให้ผู้ส่งเข้ามาภายในหนึ่งปี
นับแต่วันที่สินค้านั้นเข้ามาในราชอาณาจักร
(4) เป็นของที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักรแล้วส่งกลับคืนเข้ามาให้ผู้ส่งในราชอาณาจักรภายในหนึ่งปี
นับแต่วันที่ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร”
ตามมาตรา 78 (4) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาเกี่ยวกับความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการส่งออกสินค้าดังนี้
“มาตรา 78 ภายใต้บังคับมาตรา
78/3 ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการขายสินค้า
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้...
(4) การขายสินค้าโดยส่งออก
ให้ความรับผิดเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
(ก) การส่งออกนอกจากที่ระบุใน (ข) หรือ
(ค) ให้ความรับผิดเกิดขึ้นเมื่อชำระอากรขาออก วางหลักประกันอากรขาออก
หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาออก
เว้นแต่ในกรณีที่ไม่ต้องเสียอากรขาออกหรือได้รับยกเว้นอากรขาออก แล้วแต่กรณี
ก็ให้ถือว่าความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่มีการออกใบขนสินค้าขาออก
ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
(ข)
การส่งออกในกรณีที่นำสินค้าเข้าไปในเขตปลอดอากรตามมาตรา 77/1 (14)(ก)
ให้ความรับผิดเกิดขึ้นในวันที่นำสินค้าในราชอาณาจักรเข้าไปในเขตดังกล่าว
(ค) การส่งออกซึ่งสินค้าที่อยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
ให้ความรับผิดเกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร”
ตามมาตรา 79/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดมูลค่าของฐานภาษีสำหรับการส่งออกด้งนี้
“มาตรา 79/1
ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการในกิจการเฉพาะอย่างให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(1) ฐานภาษีสำหรับการขายสินค้าโดยการส่งออก
ได้แก่ มูลค่าของสินค้าส่งออก โดยให้ใช้ราคา เอฟ.โอ.บี.
ของสินค้าบวกด้วยภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา 77/1 (19)
และภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
แต่ทั้งนี้ไม่ให้รวมอากรขาออก
ราคา
เอฟ.โอ.บี. ได้แก่ ราคาสินค้า ณ ด่านศุลกากรส่งออกโดยไม่รวมค่าประกันภัยและค่าขนส่งจากด่านศุลกากรส่งออกไปต่างประเทศ”
ต่อข้อถาม ขอเรียนว่า
1. กรณีที่บริษัทฯ ได้รับเงินประกันจากลูกค้าในต่างประเทศจำนวน
300,000 บาท เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2562 นั้น บริษัทฯ
ยังไม่ต้องรับรู้รายได้ทั้งกรณีภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด แต่ให้บันทึกเป็นเจ้าหนี้เงินมัดจำค่าสินค้า
ให้บันทึกรายการบัญชีโดย
เดบิต เงินสด/เงินฝากธนาคาร...300,000
เครดิต เงินมัดจำ.............................300,000
2. เมื่อบริษัทฯ
ดำเนินพิธีการทางศุลกากรสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปฝากขาย ณ วันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ.
2562 ราคาตามอินวอยส์ USD 8,000 หากราคาดังกล่าว
เป็นราคา F.O.B ก็ให้บริษัทฯ รับรู้รายได้ดังนี้
2.1 กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทฯ ต้องรับรู้รายได้ทางภาษีอากรโดยปรับปรุงเพิ่มรายได้ที่กฎหมายกำหนดในแบบ
ภ.ง.ด.50 เนื่องจากการส่งสินค้าออกไปให้แก่ตัวแทนในต่างประเทศ
ถือเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 70 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร และรับรู้ต้นทุนทางภาษีอากรสำหรับรายได้ดังกล่าว
ตามหลักการจับคู่ของรายจ่ายกับรายได้ (Matching Principle) ตามเกณฑ์สิทธิตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม
..........บริษัทฯ ต้องรับรู้รายได้จากการขายสินค้าโดยการส่งออกในแบบ ภ.พ.30 ตามมาตรา 77/1 (8) และ (14) ประกอบกับมาตรา 78 (4) แห่งประมวลรัษฎากร โดยได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% ตามมาตรา 80/1 (1) แห่งประมวลรัษฎากร และให้ใช้ราคาตามอินวอยส์จำนวน USD 8,000 ที่ถือเป็นราคา F.O.B. เพื่อการบันทึกในรายงานภาษีขาย และในแบบ ภ.พ.30 โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อซื่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้คำนวณไว้
3. เมื่อตัวแทนขายสินค้าได้เป็นจำนวนทั้งสิ้น
USD
14,500 ในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 รายการดังกล่าว มีผลกระทบต่อภาษีเงินได้นิติบุคคลและทางบัญชี
ดังนี้
3.1 บริษัทฯ ต้องรับรู้รายได้จำนวนดังกล่าวในทางบัญชี
ที่เพิ่งจะรับรู้เป็นรายได้ และในทางภาษีอากรตามหลักการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยตามมาตรา
66 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร และบันทึกรายการบัญชีโดย
เดบิต ลูกหนี้ตัวแทน (ส่วนต่างของยอดขายจริงกับเงินมัดจำ)
เงินมัดจำ.......................300,000
เครดิต
รายได้ .................................xxx
และให้บริษัทฯ
รับรู้รายจ่ายค่าคอมมิชชั่น ตามอัตราที่ตกลงกับตัวแทน และบันทึกรายการบัญชีโดย
เดบิต ค่าคอมมิชชั่น
เครดิต
ลูกหนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30
เพิ่มเติม เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับรู้ฐานภาษีสำหรับการขายโดยการส่งออกตามราคา F.O.B. แล้ว และในทางภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับใบเพื่มหนี้สำหรับการส่งออก
เมื่อบันทึกรับรู้มูลค่าของฐานภาษีตามราคา F.O.B. แล้ว
ก็นไม่ต้องปรับปรุงยื่นแบบ ภ.พ.30 เพิ่มเติมอีก
3.2 ให้บริษัทฯ รับรู้ต้นทุนในทางบัญชีตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริง และในทางภาษีอากร ให้รับรู้ยอดรายได้ที่ได้เคยรับรู้เป็นการขาย (Deemed Sale) ตามมาตรา 70 ตรีตามข้อ 2.1 ข้างต้น เป็นต้นทุนสินค้าที่ขายในแบบ ภ.ง.ด.50
4. เมื่อบริษัทฯ
ได้รับชำระหนี้ในส่วนที่เหลือ ก็ให้ล้างบัญชีลูกหนี้ออกไป