ว่าด้วยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. และ ป. และรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
บทความวันที่ 12 ก.ย. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 4905 ครั้ง
บทความวันที่ 12 ก.ย. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 4905 ครั้ง
ว่าด้วยคำสั่งกรมสรรพากรที่
ท.ป. และ ป.
และรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ
1. ความแตกต่างของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.
กับคำสั่งกรมสรรพากร ป.
อาจจำแนกความแตกต่างของคำสั่งกรมสรรพากรที่
ท.ป. และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. ได้ดังนี้
1.1 คำสั่งกรมสรรพากร ท.ป. .../(พ.ศ.)
(1) คำว่า ท.ป. ย่อมาจากคำว่า
“ทั่วไป” (General) มีใช้ในประมวลรัษฎากรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา คือ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528
ว่าด้วยเกณฑ์รับรู้รายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ซึ่งแต่เดิมกรมสรรพากรได้เคยออกคำสั่งกรมสรรพากร ที่ใช้เกี่ยวกับประมวลรัษฎากร
ด้วย “คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท. .../(พ.ศ.)” ท่านอธิบดีวิทย์ ตันตยกุล
ได้ดำริให้จัดหมวดคำสั่งกรมสรรพากรที่ใช้กับประมวลรัษฎากร เป็น “คำสั่งกรมสรรพากร
ท.ป. .../(พ.ศ.)”
(2) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.
นั้นมีบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรในอันที่จะออกคำสั่งให้ผู้ทีเกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
เช่น คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้ที่ไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 หรือมาตรา 69 ทวิ มาตรา 69
ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ให้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายได้
(3) คำสั่งกรมสรรพากร ท.ป.
.../(พ.ศ.) จึงถือเป็นกฎหมายลูกหรืออนุบัญญัติ ที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร
(4) คำสั่งกรมสรรพากร ท.ป.
.../(พ.ศ.) มีเฉพาะแต่ประเด็นตามที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้เท่านั้น
1.2 คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.)
(1) คำว่า ป. ย่อมาจากคำว่า
แนวทางปฏิบัติ (Ruling)
(2) แต่เดิมกรมสรรพากรออกคำสั่งกรมสรรพากรที่
ต. .../(พ.ศ.) ซึ่งคำว่า “ต.” นั้นให้หมายความว่า “ตีความ”
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า ไม่ถูกต้อง
ที่กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานปฏิบัติจึงไม่อาจ “ตีความ”
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้
ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตีความเท่านั้น
เว้นแต่ตามประมวลรัษฎากรจะได้มีบทบัญญัติให้กระทำเช่นนั้นได้
กรมสรรพากรจึงได้ยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ต. .../(พ.ศ.)
เสียทั้งหมดแล้วเปลี่ยนมาใช้ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.) นับแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา ดังจะเห็นได้จาก คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. /2526 และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ.
2525 เป็นต้นไปเพิ่ม “หมวด 1 ทวิ
คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร” ตั้งแต่มาตรา 13 ทวิ ถึงมาตรา 13 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากร มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2525 เป็นต้นไป
(3) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
เป็นแนวปฏิบัติที่กรมสรรพากรไม่มีอำนาจในอันที่จะสั่งให้ผู้เสียภาษีปฏิบัติตาม
แต่อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจที่จะสั่งเจ้าพนักงานอันเป็นผู้ใต้งบังคับบัญชาให้ถือปฏิบัติในการตรวจสอบ
หรือให้คำแนะนำแก้ประกอบการหรือผู้เสียภาษีอากร
(4) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
จึงไม่ถือเป็นกฎหมายลูกที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร
เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้น
(5) มีคำสั่งกรมสรรพากร ป.
.../(พ.ศ.)
หลายต่อหลายฉบับที่เป็นการนำแนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากรมาเขียนในรูปของคำสั่งกรมสรรพากร
ป. .../(พ.ศ.) เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ไม่ต้องตอบข้อหารือซ้ำๆ อีกต่อไป
และช่วยสร้างความเข้าใจแก่ผู้เสียภาษีอากรในแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรในแต่ละเรื่องที่กรมสรรพากรต้องการ
(6) คำสั่งกรมสรรพากร ป.
.../(พ.ศ.) อาจมีประเด็นทางภาษีเพียงประเด็นเดียวหรือหลายประเด็น
และหลายประเภทภาษีอากรก็ได้
(7) คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
.../(พ.ศ.) อาจใช้ในการอุดช่องโหว่ของกฎหมาย
หรือเติมเต็มแนวทางปฏิบัติของกฎหมายแห่งประมวลรัษฎากรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
1.3 ต้องปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่
ป. .../(พ.ศ.) หรือไม่
คำกล่าวว่า “คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
ไม่ใช่กฎหมาย” คำว่า “ไม่ใช่กฎหมาย” แปลว่า “ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้
ไม่มีความผิด” นั้น คำกล่าวดังกล่าว นับว่าถูกต้อง
แต่...การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากร
โดยเฉพาะคำสั่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
ย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ปฎิบัติ นอกจากเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว ยังอาจขึ้นชื่อว่า
ไม่ให้ความร่วมมือต่อทางราชการ เว้นแต่ พิจารณาเห็นว่า คำสั่งกรมสรรพากร ฉบับนั้นๆ
ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร หรือข้ดกับอนุบัญญัติหรือกฎหมายลูกที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ก็สามารถมีความเห็นที่ขัดแย้งได้ด้วยเหตุด้วยผล จึงต้องขอให้ระบุให้ชัดเจนว่า
“จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.)” ฉบับนั้น ด้วยเหตุผลกลใด
ต้องเข้าใจว่า
มีหลายคำสั่งกรมสรรพากรที่นำบทบัญญัติของกฎหมายมาวางเป็นแนวทางปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงไม่อาจเหมารวมไปเสียทุกฉบับ ว่าจะไม่ปฎิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
.../(พ.ศ.) และทำให้ความเห็นไม่ตรงกับสรรพากร จึงควรระบุให้ชัดเจนว่า
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.) ฉบับใดที่ไม่เห็นด้วย โดยมีข้อกฎหมายหรือเหตุผลสนับสนุน
สำหรับการฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรกลาง นั้น ใช่ว่า ศาลจะไม่นำคำสั่งกรมสรรพากรที่
ป. มาพิจารณา เพราะไม่ใช่กฎหมาย ไปเสียทุกฉบับ พึงต้องจำแนกเป็นรายกรณ๊ไป
ข้อเปรียบเทียบคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
รายการ |
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. |
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. |
1. ความหมายและที่มา |
คำว่า ท.ป.
ย่อมาจากคำว่า “ทั่วไป” (General) มีใช้ในประมวลรัษฎากรตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2528 เป็นต้นมา คือ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 1/2528
ว่าด้วยเกณฑ์รับรู้รายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
ซึ่งแต่เดิมกรมสรรพากรได้เคยออกคำสั่งกรม สรรพากร ที่ใช้เกี่ยวกับประมวลรัษฎากร
ด้วย “คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท. .../(พ.ศ.)” ท่านอธิบดีวิทย์ ตันตยกุล
ได้ดำริให้จัดหมวดคำสั่งกรมสรรพากรที่ใช้กับประมวลรัษฎากร เป็น
“คำสั่งกรมสรรพากร ท.ป. .../(พ.ศ.)” |
คำว่า ป.
ย่อมาจากคำว่า แนวทางปฏิบัติ (Ruling) แต่เดิมกรมสรรพากรออกคำสั่งกรมสรรพากรที่
ต. .../(พ.ศ.) ซึ่งคำว่า “ต.” นั้นให้หมายความว่า “ตีความ” สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า
ไม่ถูกต้อง ที่กรมสรรพากรเป็นหน่วยปฏิบัติจึงไม่อาจ “ตีความ”
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรได้ ต้องส่งเรื่องให้คณะ กรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตีความเท่านั้น
เว้นแต่ตามประมวลรัษฎากรจะได้มีบทบัญญัติให้กระทำเช่นนั้นได้
กรมสรรพากรจึงได้ยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ต. .../(พ.ศ.)
เสียทั้งหมดแล้วเปลี่ยนมาใช้ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.) นับแต่ปี พ.ศ.
2526 เป็นต้นมา ดังจะเห็นได้จาก คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. /2526
และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร
โดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2525
เป็นต้นไปเพิ่ม “หมวด 1 ทวิ คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร” ตั้งแต่มาตรา 13 ทวิ
ถึงมาตรา 13 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากร มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.
2525 เป็นต้นไป |
2. ความเป็นกฎหมาย |
คำสั่งกรมสรรพากรที่
ท.ป. นั้น มีบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
ให้อำนาจแก่อธิบดีกรมสรรพากรในอันที่จะออกคำสั่งให้ผู้ทีเกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
เช่น คำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528
กำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้ที่ไม่มีหน้าที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ
ที่จ่ายตามมาตรา 50 หรือมาตรา 69 ทวิ มาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ให้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายได้ |
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. เป็นแนวปฏิบัติที่กรมสรรพากรไม่มีอำนาจในอันที่จะสั่งให้ผู้เสียภาษีปฏิบัติตาม
แต่อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจที่จะสั่งเจ้าพนักงานอันเป็นผู้ใต้งบังคับบัญชาให้ถือปฏิบัติในการตรวจสอบ
หรือให้คำแนะนำแก้ประกอบการหรือผู้เสียภาษีอากร คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.
จึงไม่ถือเป็นกฎหมายลูกที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร
เป็นเพียงแนวทางปฏิบัติเท่านั้น มีคำสั่งกรมสรรพากร ป. .../(พ.ศ.)
หลายต่อหลายฉบับที่เป็นการนำแนวคำตอบข้อหารือของกรมสรรพากรมาเขียนในรูปของคำสั่งกรมสรรพากร
ป. .../(พ.ศ.) เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ไม่ต้องตอบข้อหารือซ้ำๆ อีกต่อไป และช่วยสร้างความเข้าใจแก่ผู้เสียภาษีอากรในแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากรในแต่ละเรื่องที่กรมสรรพากรต้องการ |
3. ประเด็นในคำสั่ง |
คำสั่งกรมสรรพากร
ท.ป. .../(พ.ศ.) มีเฉพาะแต่ประเด็นตามที่กฎหมายกำหนดให้อำนาจไว้เท่านั้น |
คำสั่งกรมสรรพากร
ป. .../(พ.ศ.) อาจมีประเด็นทางภาษีเพียงประเด็นเดียว หรือหลายประเด็น และประกอบด้วยหลายประเภทภาษีอากรก็ได้ |
4. การใช้เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมาย |
ไม่มี |
คำสั่งกรมสรรพากรที่
ป. .../(พ.ศ.) อาจใช้เพื่อการอุดช่องโหว่ของกฎหมาย
หรือเติมเต็มแนวทางปฏิบัติของกฎหมายแห่งประมวลรัษฎากรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น |
5. หน้าที่ต้องปฏิบัติตาม |
เนื่องจากคำสั่งกรมสรรพากรที ท.ป. มีลำดับศักดิ์เป็นกฎหมายที่ผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ไม่อาจบิดพริ้วได้ อาจต้องรับผิดในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตาม |
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากร
โดยเฉพาะคำสั่งที่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
ย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ปฎิบัติ นอกจากเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายแล้ว ยังอาจขึ้นชื่อว่า
ไม่ให้ความร่วมมือต่อทางราชการ เว้นแต่ พิจารณาเห็นว่า คำสั่งกรมสรรพากร
ฉบับนั้นๆ ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร
หรือข้ดกับอนุบัญญัติหรือกฎหมายลูกที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร
ก็สามารถมีความเห็นที่ขัดแย้งได้ด้วยเหตุด้วยผล จึงต้องขอให้ระบุให้ชัดเจนว่า
“จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. .../(พ.ศ.)” ฉบับนั้น ด้วยเหตุผลกลใด |
2. ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายค่าบริการที่จ่ายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์
และศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายที่จ่ายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์
และศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ เป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของบริษัทฯ
ในฐานะที่เป็น “บริษัทจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย”
ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ. 2535 ทำหน้าที่เป็นตลาดรองเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายตราสารทุน
ของบริษัทต่าง ๆ ที่ได้จดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ไว้
ทำให้บริษัทจดทะเบียนสามารถระดมเงินทุนเพิ่มเติมจากสาธารณะได้โดยสะดวก
การระดมเงินทุนของบริษัทฯ
ในฐานะบริษัทจดทะเบียนจากตลาดทุนโดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนของธุรกิจต่าง
ๆ นอกเหนือจากการกู้เงินจากสถาบันการเงินโดยทั่วไป ทำให้บริษัทฯ
สามารถระดมเงินทุนระยะยาวเพื่อใช้ในการลงทุนและดำเนินธุรกิจได้ตามที่ต้องการโดยไม่ต้องมีภาระจากดอกเบี้ยเงินกู้และสัดส่วนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับส่วนของเจ้าของ
ในส่วนของศูนย์รับฝากหลักทรัพย์หรือบริษัท
ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการให้บริการในระบบหลังการซื้อขายหลักทรัพย์ (Back-Office
Systems) ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ สูงสุด และได้มาตรฐานสากล
โดยให้บริการนายทะเบียนหลักทรัพย์ มีหน้าที่ในการดูแลและรักษาข้อมูลหลักทรัพย์
และจัดทำทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพเชื่อมโยงกับระบบงานรับฝากหลักทรัพย์
นอกจากนี้ ยังมีระบบการเก็บรักษา รวบรวมและประมวลผลข้อมูล ในทะเบียนหลักทรัพย์
ตลอดจนระบบสำรอง กรณีระบบหลักไม่สามารถใช้งานได้
และมีระบบห้องมั่นคงเพื่อจัดเก็บใบหลักทรัพย์และเอกสารสิทธิต่าง ๆ ให้ปลอดภัย
ระบบบริหารข้อมูลสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและระบบตรวจสอบกิจการภายในเพื่อลดความเสี่ยงด้านต่าง
ๆ
ดังนั้น
ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายที่จ่ายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์และศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
จึงเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการประเภทที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
จึงไม่เข้าลักษณะเป็นภาษีต้องห้ามตามข้อ 2 (3) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ 42) ที่กล่าวว่า
"ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม"
แต่อย่างใด
การที่เจ้าพนักงานสรรพากร
ไม่ยอมให้นำภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายที่จ่ายให้แก่ตลาดหลักทรัพย์และศูนย์รับฝากหลักทรัพย์มาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดยกล่าวหาว่าเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้น
จึงเป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทฯ
โดยตรง
อย่างไรก็ตาม ภาษีซื้อสำหรับรายจ่ายค่านายหน้าแก่โบรกเกอร์
กรณีซื้อ-ขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
เนื่องจากการลงทุนในหลักทรัพย์เป็นกิจการที่ไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามนิยามศัพท์คำว่า
“บริการ” ตามมาตรา 77/1 (10) แห่งประมวลรัษฎากร ที่กำหนดให้ ผลตอบแทนที่ได้จากการนำเงินไปหาประโยชน์
โดยการฝากธนาคาค หรือซื้อพันธบัตร หรือหลักทรัพย์ ไม่เข้าลักณะเป็นการให้บริการที่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ดังนี้
(10) “บริการ” หมายความว่า การกระทำใด ๆ
อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า
และให้หมายความรวมถึงการใช้บริการของตนเอง ไม่ว่าประการใดๆ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึง
(ก) การใช้บริการหรือการนำสินค้าไปใช้
เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด (ดู
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) ประกอบ)
(ข) การนำเงินไปหาประโยชน์โดยการฝากธนาคารหรือซื้อพันธบัตรหรือหลักทรัพย์
(ค)
การกระทำตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี”