บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
บทความวันที่ 18 มี.ค. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 9304 ครั้ง
บทความวันที่ 18 มี.ค. 2563 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 9304 ครั้ง
ได้รวบรวมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคำว่า
"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน"
ตามประมวลรัษฎากร ซึ่งมีปรากฎในหลายที่ ดังนี้
1.
ตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
" หมายความว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปซึ่งมีความสัมพันธ์กันในลักษณะดังต่อไปนี้
(1) ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่ง
เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนเกินกว่ากึ่งจำนวนผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่ง
(2)
ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งมีมูลค่าเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
(3)
นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งเกินกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
หรือ
(4)
บุคคลเกินกว่ากึ่งจำนวนกรรมการหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในนิติบุคคลหนึ่ง
เป็นกรรมการหรือเป็นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการในอีกนิติบุคคลหนึ่ง
คำว่า
"บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน"
ในที่นี้ใช้กับกรณีดังต่อไปนี้
1.1
การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 284)
พ.ศ. 2538 สำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่เป็น (1)
กำไรสุทธิที่ได้จากกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นหรือของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน
และ (2)
เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการตาม
(1) ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง
จะต้องมิได้ประกอบกิจการอื่นนอกจากกิจการสถานฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน
1.2
การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่
437) พ.ศ. 2548
สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นหรือที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
1.3
ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 516) พ.ศ. 2554 ดังนี้
"มาตรา
3 ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามหมวด 4 ภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5
และอากรแสตมป์ตามหมวด 6 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ให้แก่ผู้ประกอบกิจการซึ่งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดหรือบริษัทจำกัดที่เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน
สำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน
ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้
สำหรับการโอนกิจการที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป
“บริษัทในเครือเดียวกัน”
หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันตามมาตรา 39
แห่งประมวลรัษฎากร
และให้หมายความรวมถึงบริษัทผู้โอนกิจการถือหุ้นในบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทผู้รับโอนกิจการอีกทอดหนึ่งต่อเนื่องกันโดยการถือหุ้นของบริษัทดังกล่าวมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของบริษัทที่ถูกถือหุ้นนั้น
ทั้งนี้
ความเป็นบริษัทในเครือเดียวกันจะต้องเป็นอยู่ต่อไปไม่น้อยกว่าหกเดือนนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน
2.
ตามมาตรา 65 ทวิ (10) แห่งประมวลรัษฎากร
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 52) พ.ศ.
2562 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป
“(10)
สำหรับบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
ให้นำเงินปันผลที่ได้จากบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม
พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม และเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้า มารวมคำนวณเป็นรายได้เพียงกึ่งหนึ่งของจำนวนที่ได้
เว้นแต่บริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยดังต่อไปนี้
ไม่ต้องนำเงินปันผลที่ได้จากบริษัทจำกัดที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม
พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม และเงินส่วนแบ่งกำไรที่ได้จากกิจการร่วมค้า
มารวมคำนวณเป็นรายได้
(ก) บริษัทจดทะเบียน
(ข) บริษัทจำกัดนอกจาก (ก)
ซึ่งถือหุ้นในบริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 25
ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลและบริษัทจำกัดผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดผู้รับเงินปันผลไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีที่บริษัทจำกัดหรือบริษัทจดทะเบียนมีเงินได้ที่เป็นเงินปันผลและเงินส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวโดยถือหุ้นที่ก่อให้เกิดเงินปันผลและเงินส่วนแบ่งกำไรนั้นไว้ไม่ถึงสามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นนั้นมาถึงวันมีเงินได้ดังกล่าว
หรือได้โอนหุ้นนั้นไปก่อนสามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้
เงินปันผลที่ได้จากการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามมาตรา 65 ตรี (2)
ไม่ให้ถือเป็นเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งกำไรตามความในวรรคสอง”
กรณีตามมาตรา
65 ทวิ (10)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังกล่าว แม้จะมิได้ใช้คำว่า
“บริษัทในเครือเดียวกัน” แต่ตามนัยถือเป็นบริษัทโฮลดิ้งคัมปะนี
ซึ่งเป็นความหมายหนึ่งของคำว่า “บริษัทในเครือเดียวกัน”
3.
ตามวรรคสองของมาตรา 71 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้กำหนดนิยามศัพท์คำว่า
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน”
เพื่อป้องปรามการถ่ายโอนกำไรระหว่างกัน ดังนี้
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน
ตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า บริษัทหรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันในลักษณะ ดังต่อไปนี้
(1)
นิติบุคคลหนึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
(2)
ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด
ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนในอีกนิติบุคคลหนึ่งไม่ว่าโดยตรง
หรือโดยอ้อมไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของทุนทั้งหมด หรือ
(3)
นิติบุคคลที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านทุน การจัดการ หรือการควบคุมในลักษณะ
ที่นิติบุคคลหนึ่งไม่อาจดำเนินการโดยอิสระจากอีกนิติบุคคลหนึ่งตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง”
4. ตามมาตรา 3 (32)
แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ
(ฉบับที่ 240) พ.ศ. 2534 ดังนี้
“(32)
กิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามมาตรา 91/2 (5)
แห่งประมวลรัษฎากรของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ซึ่งมิได้ประกอบกิจการตามมาตรา 91/2 (1)(2) และ (3) แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับ เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(ก)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้กู้ยืมเงินกันเอง
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน”
หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจำนวนตั้งแต่สองนิติบุคคลขึ้นไป
ซึ่งมีความสัมพันธ์กันโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนอยู่ในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอีกแห่งหนึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียงในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น
เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือนก่อนวันที่มีการกู้ยืม โดยให้นับระยะเวลาของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมอันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมผู้โอนกิจการทั้งหมดรวมด้วย
(ข)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลฝากเงินไว้กับสถาบันการเงินหรือซื้อตั๋วเงินที่ออกโดยสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
โดยได้รับดอกเบี้ยตามอัตราปกติ
ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป”
5. ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่
405) พ.ศ. 2545 สำหรับ “สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค” (Regional
Operating Headquarter: ROH) หรือมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 586) พ.ศ. 2558 สำหรับ “สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ”
(International Headquarter: IHQ) และมาตรา
3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 674) พ.ศ. 2561 สำหรับ “ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ”
(International Business Center: IBC) ได้กำหนดนิยามศัพท์คำว่า “วิสาหกิจในเครือ”
ดังนี้
“วิสาหกิจในเครือ” หมายความว่า
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์กับสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
ในลักษณะดังต่อไปนี้
(1)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งถือหุ้นในสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมด
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมด
(3)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม
(1) ถือ หุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของทุนทั้งหมด
(4)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีอำนาจควบคุมกิจการหรือกำกับดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
(5) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ซึ่งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคมีอำนาจควบคุมกิจการหรือกำกับดูแลการดำเนินงานและการบริหารงาน
(6)
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตาม
(4) มีอำนาจควบคุมกิจการหรือกำกับดูแลการดำเนินงานและการบริหารงาน”
5.1
ตามมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 405) พ.ศ. 2545
ได้กำหนดให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
(Regional
Operating Headquarter: ROH) ดังนี้
“มาตรา 8 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้
ตาม (ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด
3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 10.0 ของกำไรสุทธิ
ให้แก่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค สำหรับรายได้ดังต่อไปนี้
(1)
รายได้จากการให้บริการของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคแก่วิสาหกิจในเครือ
หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
(2)
ดอกเบี้ยที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ
หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ทั้งนี้
เฉพาะดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้กู้มาเพื่อให้กู้ยืมต่อ
“(3)
ค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ
เฉพาะค่าสิทธิที่เกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาที่กระทำขึ้นในประเทศไทย
โดยสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้วิจัยและพัฒนาเองหรือผู้อื่นวิจัยและพัฒนา
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้
สำหรับค่าสิทธิที่ได้รับก่อนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562”
(ความใน (3) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 685) พ.ศ.2562 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป)
มาตรา 9 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้
(นิติบุคคล) ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ให้แก่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นเงินปันผลที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ”
5.2
ตามมาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 586) พ.ศ. 2558 ได้กำหนดลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้แก่ “สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ” (International
Headquarter: IHQ) ดังนี้
“มาตรา
7 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3
ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละสิบของกำไรสุทธิ
ให้แก่สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ สำหรับรายได้ที่ได้รับก่อนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562
ดังต่อไปนี้
(1) รายได้จากการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค
การให้บริการสนับสนุนหรือการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
(2) ค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย
เฉพาะค่าสิทธิที่เกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาที่กระทำในประเทศไทย
โดยสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศได้วิจัยและพัฒนาเองหรือจ้างผู้อื่นวิจัยและพัฒนา
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้
สำหรับค่าสิทธิที่ได้รับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป”
(ความในวรรคหนึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 686) พ.ศ. 2562 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562
เป็นต้นไป)
รายได้ที่จะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่งเฉพาะที่มีจำนวนรวมกันไม่เกินกว่ารายได้
ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา 8 (1) และ (2)
มาตรา 8 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ (นิติบุคคล) ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่สำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ
สำหรับรายได้ที่ได้รับก่อนวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ดังต่อไปนี้
(1)
รายได้จากการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค การให้บริการสนับสนุน
หรือการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
(2) ค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
เฉพาะค่าสิทธิที่เกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาที่กระทำขึ้นในประเทศไทย
โดยสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศได้วิจัยและพัฒนาเองหรือจ้างผู้อื่นวิจัยและพัฒนา
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด ทั้งนี้ สำหรับค่าสิทธิที่ได้รับตั้งแต่วันที่
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป
(3)
เงินปันผลที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ
(4)
รายได้จากการโอนหุ้นของวิสาหกิจในเครือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ทั้งนี้
เฉพาะการโอนหุ้นที่ตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
(5) รายได้จากการจัดซื้อและขายสินค้าในต่างประเทศ
โดยสินค้าดังกล่าวมิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทยหรือเข้ามาในประเทศไทยในลักษณะการผ่านแดนหรือการถ่ายลำตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
และรายได้จากการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศแก่นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ได้รับจากหรือในต่างประเทศ”
(ความในมาตรา 8 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 686) พ.ศ. 2562 ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่
2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป)
5.3 ตามมาตรา 7 มาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
ฉบับที่ 674) พ.ศ. 2561 ได้กำหนดลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่
“ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ” (International Business Center:
IBC) ดังนี้
“มาตรา 7 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม
(ก) ของ (2) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด
3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ
และคงจัดเก็บในอัตราดังต่อไปนี้
(1) ร้อยละแปดของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้
เฉพาะศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่มีรายจ่ายของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่ได้จ่ายให้แก่ผู้รับในประเทศไทย
ไม่น้อยกว่าหกสิบล้านบาท ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
(2) ร้อยละห้าของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เฉพาะศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่มีรายจ่ายของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่ได้จ่ายให้แก่ผู้รับในประเทศไทย
ไม่น้อยกว่าสามร้อยล้านบาท ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
(3) ร้อยละสามของกำไรสุทธิ สำหรับรายได้ของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เฉพาะศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่มีรายจ่ายของกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศที่ได้จ่ายให้แก่ผู้รับในประเทศไทย
ไม่น้อยกว่าหกร้อยล้านบาท ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี
มาตรา 8 ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ (นิติบุคคล) ตามส่วน 3
หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ สำหรับรายได้จากเงินปันผลที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ
มาตรา 9 ให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด 5 ในลักษณะ 2
แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ สำหรับรายรับจากการให้บริการด้านการบริหารเงินแก่วิสาหกิจในเครือ”