พระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562
บทความวันที่ 1 พ.ค. 2562 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2039 ครั้ง
บทความวันที่ 1 พ.ค. 2562 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 2039 ครั้ง
พระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร
และความรับผิดทางอาญา
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562
1. เจตนารมณ์
เพื่อสนับสนุนให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
เข้าสู่ระบบภาษีเพื่อการพัฒนาฐานภาษีที่ยั่งยืน
อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร ในอันที่จะยกเว้นเบี้ยปรับ
เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญาให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
2. ประเภทภาษีที่ได้รับยกเว้นเบี้ยปรับ-เงินเพิ่ม
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ
หรือที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้แล้ว แต่ไม่ถูกต้องก่อน25 มีนาคม พ.ศ. 2562 (วันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
จะได้รับยกเว้นเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม สำหรับประเภทภาษีอากรดังต่อไปนี้ (มาตรา
4)
2.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นในหรือหลังวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560
2.2 ภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับรายได้ประจำเดือนภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม
พ.ศ. 2559 จนถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (เดือนภาษีก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
2.3 ภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับรายรับประจำเดือนภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๕๕๙ จนถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (เดือนภาษีก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
2.4 อากรแสตมป์ สำหรับตราสารที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้ชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 จนถึง25
มีนาคม พ.ศ. 2562 (วันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
2.5 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้ตั้งแต่วันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2562 (ว้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
3. ผู้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับอาญา
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มตามมาตรา
4 ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (มาตรา 5)
2.1 เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
ที่มีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีสุดท้าย
ซึ่งมีกำหนดครบสิบสองเดือน
โดยวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561 ไม่เกิน
500 ล้านบาท ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร
2.2 ได้มีการยื่นรายการภาษีเงินได้สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตาม
2.1 ไว้แล้วก่อนวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2562 (วันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
2.3 ต้องไม่เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีหรือผู้ใช้ใบกำกับภาษีที่กรมสรรพากรได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าได้มีการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับใบกำกับภาษีตามประมวลกฎหมายอาญาไว้แล้วก่อนวันที่
26 มีนาคม พ.ศ. 2562 (วันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
4.
เงื่อนไขการได้รับสิทธิยกเว้นเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม
4.1 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มตามข้อ
2 (มาตรา 4) ต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (มาตรา 6)
(1) ลงทะเบียนต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 30 มิถุนายน
พ.ศ. 2562 ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา
6 (1) แห่งพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากรและความรับผิดทางอาญา
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการลงทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการยกเว้นเบี้ยปรับ
เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้
(ก)
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา
5 แห่งพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562
ลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิตามมาตรา 6 (1) แห่งพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ
เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร
พ.ศ. 2562 ต่อกรมสรรพากร ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็ปไซต์ของกรมสรรพากร http://www.rd.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
(ข)
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้ลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิตามข้อ 1 จัดพิมพ์หลักฐานการลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิทางเว็ปไซต์ของกรมสรรพากรและน
าส่งกรมสรรพากรพร้อมกับการดำเนินการตามมาตรา 6 (2) หรือ (3) แห่งพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ
เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562
(2) ยื่นแบบแสดงรายการภาษีอากรหรือยื่นขอเสียอากรเป็นตัวเงิน
พร้อมทั้งชำระภาษีอากรที่ยังไม่ได้ชำระหรือยังชำระไม่ครบถ้วนทั้งจำนวน ภายในวันที่
30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ดังต่อไปนี้
(ก)
ภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลของรอบระยะเวลาบัญชีที่มีวันเริ่มต้นในหรือหลังวันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560
(ข)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับรายได้ประจำเดือนภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2559
จนถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (เดือนภาษีก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
(ค)
ภาษีธุรกิจเฉพาะ สำหรับรายรับประจำเดือนภาษีตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2559
จนถึงเดือนภาษีกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 (เดือนภาษีก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
(ง)
อากรแสตมป์ สำหรับตราสารที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้ชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์อากร
ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้กระทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันที่
25 มีนาคม พ.ศ. 2562 (วันก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
(จ)
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย สำหรับการจ่ายเงินได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันที่
25 มีนาคม พ.ศ. 2562 (ว้นก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ)
(3)
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีอากรทุกประเภทตามประมวลรัษฎากรที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่หักหรือนำส่ง
สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
พร้อมทั้งนำส่งภาษีอากรที่ยังไม่ได้นำส่งหรือยังนำส่งไม่ครบถ้วนทั้งจำนวน
ภายในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
อนึ่ง
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มตามมาตรา ๔
เมื่อได้ดำเนินการตาม 4.1 ข้างต้นแล้ว ให้พ้นจากความรับผิดทางอาญาตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้อง
(มาตรา 8)
4.2 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับยกเว้นเบี้ยปรับหรือเงินเพิ่มตามข้อ
2 (มาตรา 4) ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี แบบนำส่งภาษี
และแบบขอเสียอากรเป็นตัวเงิน สำหรับภาษีอากรทุกประเภท
ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครบถ้วน
สำหรับการยื่นแบบตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563
เว้นแต่มีเหตุอันสมควรตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ปฏิบัติตามที่กล่าวข้างต้น
ให้หมดสิทธิได้รับยกเว้นเบี้ยปรับ หรือเงินเพิ่มตามข้อ 2 (มาตรา 4)
และให้กรมสรรพากรดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวข้องต่อไป
5. บทสรุป
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมได้ประโยชน์จากมาตรการนี้
ตามที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า การยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มครั้งนี้ถือเป็นมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ
SMEs ที่ยังไม่ได้จัดท าบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการได้ใช้โอกาสนี้ในการปรับตัว
มีงบการเงินที่น่าเชื่อถือ สร้างโอกาสทางธุรกิจ และสามารถเข้าถึงธุรกรรมทางการเงินหรือสินเชื่อ
โดยไม่มีภาระภาษีย้อนหลัง สมตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ซึ่งกรมสรรพากรได้เริ่มขับเคลื่อนยุทธศาสตร์
D2DRIVE บูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลขนาดใหญ่
(Big Data) ผ่านระบบดิจิทัล จากหลายหน่วยงาน เช่น
ความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำหนดใช้งบการเงินที่แจ้งต่อกรมสรรพากรยื่นขออนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
ข้อมูลงบการเงินจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและบริษัทผู้ท
าบัญชีเพื่อการตรวจสอบภาษีอากร
นายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์
รองอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเสริมว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากการออกมาตรการนี้มีจำนวน
460,000 ราย เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท
และยังมีผู้ประกอบการที่อยู่ในระหว่างการตรวจสอบอีก 60,000-70,000 ราย
มาตรการนี้ เป็นมาตรการสนับสนุนให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการทางภาษีอากรให้ถูกต้อง
โดยมีระบบบัญชีและงบการเงินที่ถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน
และทำธุรกรรมทางการเงินได้สะดวกมากขึ้น ทั้งยังช่วยลดต้นทุนที่ต้องใช้ในการประกอบกิจการ
และเปลี่ยนต้นทุนเป็นขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจได้เพื่อประโยชน์ที่ผู้ประกอบการจะได้รับในอนาคต
กรมสรรพากร ได้ยืนยันว่า มาตรการนี้จัดเป็นมาตรการสุดท้ายเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำบัญชีชุดเดียว
และกรมสรรพากรได้ทำการประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาจากบัญชีงบการเงินของกรมสรรพากร
และหลังจากวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562
กรมสรรพากรจะเริ่มใช้มาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ใช้ธุรกรรมเงินสด
เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีจากการปรับแต่งงบการเงิน
สำหรับผู้ประกอบการที่เคยลงทะเบียนตามมาตรการบัญชีชุดเดียวเมื่อปี
พ.ศ. 2559 และมั่นใจว่า ที่ผ่านมายื่นภาษีถูกต้อง จะเลือกไม่ลงทะเบียนและยื่นแบบแสดงรายการภาษีตามมาตรการนี้
ก็ได้ ในทางตรงกันข้าม ในกรณีที่ผู้ประกอบการได้เคยลงทะเบียนตามมาตรการบัญชีชุดเดียวเมื่อปี
พ.ศ. 2559 และยังไม่ได้ยื่นแบบแสดงกรายการและเสียหรือนำส่งภาษีให้ถูกต้อง
มีการปรับแต่งบัญชี และอยากแก้ไขให้ถูกต้อง ก็ย่อมมีสิทธิลงทะเบียนและดำเนินการตามมาตรการนี้ได้
และแม้ผู้ประกอบากรที่ไม่เคยลงทะเบียตามมาตรการบัญชีชุดเดียวในปี พงศ. 2559 ก็มีสิทธิลงทะเบียนและดำเนินการขอรับสิทธิตามมาตรการนี้
ได้ เช่นเดียวกัน
ในกรณีที่ผู้ประกอบการเชื่อมั่นว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการและเสียหรือนำส่งวภาษีอากรไว้ถูกต้อง
ครบถ้วนแล้ว ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ก็นไม่ต้องลงทะเบียนและดำเนินการใดๆ ตามมาตรการนี้
อ้างอิง:
http://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/news/news30_2562.pdf