



รายจ่ายจากการดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
บทความวันที่ 15 เม.ย. 2561 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 4144 ครั้ง
บทความวันที่ 15 เม.ย. 2561 . เขียนโดย อจ.สุเทพ . เข้าชม 4144 ครั้ง
รายจ่ายจากการดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการจ้างคนพิการเข้าทํางาน
หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 33 มาตรา 34 และมาตรา 35
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 156/2561 เรื่อง
การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับรายจ่ายจากการดําเนินการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2561 จึงขอนำมาเป็นประเด็นเล่าสู่กันฟังดังนี้
1. นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทํางาน
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเนื่องจากการจ้างคนพิการเข้าทํางาน อาทิ
ค่าใช้จ่ายที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีหน้าที่ต้องจ่ายตามข้อผูกพันที่กําหนดในสัญญาจ้างแรงงาน
เช่น เงินเดือนค่าล่วงเวลา โบนัส ค่ารักษาพยาบาล เงินประกันสังคม เป็นต้น มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรได้
ดังนี้
กรณีที่
1 นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทํางาน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเนื่องจากการจ้างคนพิการเข้าทํางาน
นํามาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นจํานวนสองเท่าของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเนื่องจากการจ้างคนพิการเข้าทํางาน
ทั้งนี้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 499) พ.ศ. 2553 เช่น
บริษัท ก. รับนาย ข.
ซึ่งเป็นคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางานเป็นพนักงานประจําของบริษัท โดยบริษัท
ก. จ่ายค่าจ้างให้นาย ข. จํานวน 20,000 บาทต่อเดือน หรือ 240,000 บาทต่อปี บริษัท ก. มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างนาย ข.
นํามาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการจ้างได้ทั้งสิ้นจํานวน 480,000 บาท
กรณีที่ 2
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการรับคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทํางานเกินกว่าร้อยละหกสิบของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น
โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีหรือรอบระยะเวลาบัญชีที่มีเงินได้
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเนื่องจากการจ้างคนพิการเข้าทํางานมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไดเป็นจํานวนสามเท่า
ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเนื่องจากการจางคนพิการเข้าทํางาน ทั้งนี้
ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 499)
พ.ศ. 2553 และพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ 519) พ.ศ. 2554 เช่น
ในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม บริษัท ก.
มีพนักงานในบริษัททั้งหมด 100 คน
เป็นพนักงานที่เป็นคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการทั้งหมด 61 คน
โดยได้จ้างพนักงานที่เป็นคนพิการดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึง 31
มีนาคมของป็ถัดไป รวมทั้งสิ้น 275
วันในรอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในรอบระยะเวลาบัญชี
ดังนั้น บริษัท ก. จ่ายค่าจ้างให้พนักงานที่เป็นคนพิการคนละ 20,000 บาทต่อเดือน หรือคนละ 180,000
บาทในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าว บริษัท ก.
จึงมีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างพนักงานที่เป็นคนพิการมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่มีการจ้างได้ทั้งสิ้นจํานวน
540,000 บาทต่อพนักงานที่เป็นคนพิการ 1 คน
2. ตามมาตรา 33
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
กําหนดให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป รับคนพิการเข้าทํางานในอัตราส่วนลูกจ้างที่ไม่ใช่คนพิการทุก
100 คนต่อคนพิการ 1 คน เศษของ 100 คน ถ้าเกิน 50 คนต้องรับคนพิการเพิ่มอีก 1 คน
2.1
กรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่มิได้จ้างคนพิการเข้าทํางานตามจํานวนที่กําหนด
ดังกล่าว
แต่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนส้งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามจํานวนกําหนด ตามมาตรา
34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธินําเงินที่ส่งเข้ากองทุนตามมาตรา 34
ดังกล่าว มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
เพราะเป็นรายจ่ายที่จ่าตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
2.2
อย่างไรก้ตาม
กรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่มิได้จ้างคนพิการเข้าทํางานตามมาตรา
33 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
และไม่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามมาตรา 34
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการอาจปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 35
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 อาจกระทําได้โดย
(1) การให้สัมปทาน จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ
(2) จัดจัางเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ
(3) ฝึกงาน
(4)
จัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ หรือ
(5)
ให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
3. หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปจริง
ตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.
2550 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการของตนเอง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
แต่รายจ่ายดังกล่าวจะต้องไม่เกินจํานวนเงินที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา
34 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
4.
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธินํารายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามมาตรา
35 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรได้
ดังนี้
วิธีที่ 1 การให้สัมปทาน คือ
การให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
ได้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินในการประกอบอาชีพ เช่น
การให้ใช้ประโยชน์จากอาคาร สถานที่หรือทรัพย์สินของสถานประกอบการ
การให้สิทธิในลิขสิทธิ์ในการจําหน้ายสินค้า การจัดสรรเวลาออกอากาศสถานีโทรทัศน์
วิทยุ
การดําเนินการในลักษณะดังกล่าว
เป็นกรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์จากสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ของตน
ไม่ใช่กรณีการจ่ายค่าใช้จ่ายใด ๆ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่มีสิทธินํามูลค่าการให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น
มาถือเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น
บริษัท ก. มีที่ดินเป็นของตนเอง
ได้ทําสัญญาให้สัมปทานใช้พื้นที่ในการทําการเกษตรปลูกผักแก่ผู้ดูแลคนพิการเป็นระยะเวลา
1 ปี โดยไม่มีค่าตอบแทน คิดเป็นมูลค่า 109,500 บาท
โดยผู้ดูแลคนพิการจะเป็นผู้หาประโยชน์และเป็นผู้ได้รับรายได้จากการขายผักตลอดระยะเวลาการให้สัมปทาน
บริษัท ก. ให้ผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์จากที่ดินของตน
ไม่ใช่กรณีการจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆ บริษัท ก. ไม่มีสิทธินํามูลค่าการให้ผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินนั้นมาถือเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิธีที่ 2 การจัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ คือ
การให้สถานที่เพื่อให้คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการได้ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ
การดําเนินการในลักษณะดังกล่าว
เป็นกรณีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ของตน
ไม่ใช่กรณีการจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่มีสิทธินํามูลค่าการให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น
มาถือเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น
บริษัท ก. มีอาคารสถานประกอบการ
ได้ทําสัญญาให้คนพิการใช้พื้นที่อาคารบริเวณโรงอาหารของบริษัทเป็นระยะเวลา 1 ปี
เพื่อให้คนพิการขายอาหารจํานวน 1 ร้าน โดยไม่มีค่าตอบแทน คิดเป็นมูลค่า 109,500
บาท ผลประโยชน์เงินรายได้ที่เกิดจากการจําหน่ายอาหารให้ตกเป็นของคนพิการ เช่นนี้ การที่บริษัท
ก. ให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์จากอาคารของตน ไม่ใช่กรณีการจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการไม่มีสิทธินํามูลค่าการให้คนพิการได้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิธีที่ 3 การจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือการจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ
คือ การจ้างคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรง ในงานที่มุ่งผลสําเร็จของงาน
หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการได้จ่ายค่าใช้จ่ายไปเพื่อการจัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการที่เป็นไปเพื่อกิจการของตน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
หากการจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น
ไม่มีสิทธินําค่าใช้จ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
เพราะไม่ใช่รายจ่ายเพื่อหากําไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ต้องห้ามตามมาตรา 65
ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น
ตัวอยางที่ 1
บริษัท ก.
ได้ทําสัญญาจ้างเหมาคนพิการเพื่อให้จัดทําของที่ระลึกของบริษัท เพื่อแจกเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่
โดยบริษัทจะเป็นผู้จัดหาวัสดุ อุปกรณ์ ให้คนพิการ
โดยบริษัทจะจ่ายเงินค่าจ้างทําของที่ระลึกในราคา 109,500
บาทต่อคนพิการ 1 คน บริษัท ก. มีสิทธินําเงินค่าจ้างเหมาคนพิการดังกล่าว
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
ตัวอย่างที่ 2
บริษัท ก.
ได้ทําสัญญาจ้างเหมาคนพิการเพื่อให้ไปทํางานในบริษัท ข. หรือส่วนราชการใด ๆ
เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีมูลค่าสัญญาจ้างจํานวน 109,500 บาทต่อคนพิการ 1 คน
บริษัท ก. ไม่มีสิทธินําเงินค่าจ้างเหมาคนพิการดังกล่าว
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิธีที่ 4 การฝึกงาน คือ
การฝึกงานให้แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการในหลักสูตรที่เป็นการเพิ่มพูนความรู้
ทักษะ ประสบการณ์ การถ่ายทอดวิทยาการ เทคโนโลยี องค์ความรู้
เพื่อให้นําไปใช้ประกอบอาชีพ
หากนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการได้มีการจ่ายเงินเพื่อการฝึกงานให้แก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้น
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปนั้นมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
เช่น บริษัท ก. จัดให้มีการอบรมอาชีพพนักงาน Call center สําหรับคนพิการ
โดยจ้างทีมงานฝึกอบรมจากบริษัท ข. โดยบริษัท ก.
จ่ายเงินค่าจ้างทีมงานฝึกอบรมให้แก่บริษัท ข. จํานวน 109,500
บาท ต่อคนพิการ 1 คน บริษัท ก.
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายการจ้างทีมงานฝึกอบรมที่ได้จ่ายไปจริง จํานวน 109,500 บาท
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
วิธีที่ 5 การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก
คือ
การจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการที่ทํางานในสถานประกอบการ
ให้สามารถทํางานได้ตามความเหมาะสม
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธินํารายจ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปเพื่อการจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เช่น
บริษัท ก.
มีพนักงานลูกจ้างทั้งสิ้นจํานวน 2,100 คน
ได้จ้างคนพิการทํางานในสถานประกอบการจํานวน 20 คน
และได้จัดให้มีทางลาดสําหรับคนพิการ โดยบริษัท ก. จ่ายเงินค่าจัดทําทางลาดคนพิการเป็นจํานวน
109,500 บาท ดังนั้น บริษัท ก.
มีสิทธินํามูลค่าต้นทุนของทางลาดที่ได้จัดทํานั้นมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
และเนื่องจากกรณีดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการจัดอุปกรณ์
สิ่งอํานวยความสะดวกหรือบริการในอาคาร สถานที่
ให้แก่คนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ บริษัท ก. จึงได้รับสิทธิตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 499) พ.ศ. 2553 ดังนี้
“มาตรา 4
ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๒ และส่วน ๓ หมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล)
ให้แก่เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น
ซึ่งได้จัดอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ
บริการขนส่ง หรือบริการสาธารณะอื่น ให้แก่คนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้
ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์
สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการดังกล่าว”
วิธีที่ 6 การจัดให้มีบริการล่ามภาษามือ คือ
การจัดหาบุคคลซึ่งจดแจ้งเป็นล่ามภาษามือต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
เพื่ออํานวยความสะดวกในการสื่อสารระหว่างคนพิการ
ทางการได้ยินกับบุคคลอื่นในสถานประกอบการของตน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการนั้นมีสิทธินําค่าใช้จ่ายตามจํานวนที่ได้จ่ายไปเพื่อการจัดให้มีล่ามภาษามือมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
เช่น
ตัวอย่างที่ 1
บริษัท ก. มีพนักงานลูกจ้างทั้งสิ้นจํานวน 2,100 คน
ได้จ่างคนพิการทางการได้ยินเข้าทํางานในสถานประกอบการจํานวน 20 คน
และได้จ่ายเงินค่าจ้างล่ามภาษามือ 1 คน เป็นจํานวน 109,500
บาทต่อ 1 ปี เพื่ออํานวยความสะดวกในการสื่อสารในสถานประกอบการ เช่นนี้ บริษัท ก.
มีสิทธินําค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีบริการล่ามภาษามือดังกล่าว
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
ตัวอย่างที่ 2
บริษัท ก. จ่ายเงินค่าจัดให้มีบริการล่ามภาษามือเป็นจํานวน 109,500 บาท
เพื่อจ้างล่ามภาษามือไปให้บริการในงานปีใหม่ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หรือสถานที่ของหน่วยงานของรัฐอื่นใด บริษัท ก.
ไม่มีสิทธินําค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีบริการล่ามภาษามือดังกล่าว
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
วิธีที่ 7 การช่วยเหลืออื่นใด คือ
การสนับสนุนด้านการเงิน วัสดุ ครุภัณฑ์ เครื่องมือหรือทรัพย์สินอื่น
รวมทั้งการซื้อสินค้าจากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยตรงเพื่อให้มีอาชีพ ฝึกอาชีพ
เตรียมความพร้อมในการทํางาน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่สนับสนุนด้านการเงิน วัสดุ ครุภัณฑ์
เครื่องมือหรือทรัพย์สินอื่นแก่คนพิการและผู้ดูแลคนพิการนั้น มีสิทธินําค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
เช่น
ตัวอย่างที่ 1
บริษัท ก.
สนับสนุนให้เครื่องดนตรีแก่คนพิการเพื่อประกอบอาชีพนักดนตรี โดยจ่ายเงินเพื่อซื้อกีตาร์
1 ตัว ราคา 109,500 บาท บริษัท ก. มีสิทธินําค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องดนตรีดังกล่าว
มาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
ตัวอย่างที่ 2
บริษัท ก.
สนับสนุนเงินให้แก่คนพิการเป็นจํานวน 109,500 บาท
ในลักษณะเป็นเงินสงเคราะห์ให้เปล่า
ให้คนพิการนําเงินดังกล่าวไปใช้โดยมิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนพิการ
บริษัท ก.
ไม่มีสิทธินําค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาลงเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
เนื่องจากเป็นการจ่ายในลักษณะของการสงเคราะห์คนพิการ
มิใช่การสนับสนุนเพื่อให้มีอาชีพ ฝึกอาชีพ หรือเตรียมความพร้อมในการทํางานในด้านรายได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส้วนนิติบุคคล
กรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการให้บริการแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการโดยไม่มีค่าตอบแทน
อันเป็นการดําเนินการตามมาตรา 35
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามที่กฎหมายกําหนด
กรณีถือเป็นเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอํานาจประเมินตามมาตรา 65 ทวิ
(4) แห่งประมวลรัษฎากร
5. อนึ่ง นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องมีหลักฐานรายจ่ายตามมาตรา
33 มาตรา 34 และมาตรา 35
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ดังต่อไปนี้
เพื่อแสดงต่อเจ้าพนักงานประเมินกรมสรรพากร
5.1
กรณีการจ้างคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการเข้าทํางาน ได้แก่ สัญญาจ้างแรงงาน
และหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่คนพิการที่จ้างเข้าทํางาน
5.2 กรณีการจ่ายเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ได้แก่ ใบเสร็จรับเงินที่ออกโดยกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
5.3 กรณีการให้สัมปทาน
จัดสถานที่จําหน่ายสินค้าหรือบริการ
จัดจ้างเหมาช่วงงานหรือจ้างเหมาบริการโดยวิธีกรณีพิเศษ ฝึกงาน
หรือจัดให้มีอุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก ล่ามภาษามือ
หรือให้ความช่วยเหลืออื่นใดแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการ ได้แก่
หนังสือแจ้งผลการใช้สิทธิตามมาตรา 35
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งอนุญาตให้ใช้สิทธิตามมาตรา
35 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
รวมทั้งเอกสารประกอบการขอใช้สิทธิ และหลักฐานการจ่ายเงินเพื่อดําเนินการดังกล่าว



